แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายเมาสุราส่งเสียงดัง จำเลยตั้งใจจะไปตามตำรวจมาจับ และไปเอาจักรยานยนต์ที่จอดไว้จะขี่ไป พอปลดเกียร์จะไสรถออก จำเลยได้ยินเสียงแกร๊กหันไปดูเห็นผู้ตายยืนอยู่ห่างจำเลย 4 วา ในมือผู้ตายถือปืนจ้องมาทางจำเลย ดังนี้ เรียกได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงจำต้องใช้ปืนยิงไปเพื่อป้องกันสิทธิแห่งชีวิตตน หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ยินเสียงดังเฉียะ จึงยิงสวนไปนัดหนึ่ง แล้วก็มิได้มีเสียงปืนของผู้ตายดังอีก แต่จำเลยยังยิงไปอีก 4 – 5 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการเกินสมควรแก่เหตุที่จะป้องกันตามนัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณา  เพราะเป็นมูลกรณีเดียวกัน  ฟ้องของโจทก์มีใจความสำคัญว่า  เมื่อวันที่ ๑๗  เมษายน  ๒๕๐๘  จำเลยบังอาจใช้ปืนเป็นอาวุธ  ยิงทำร้ายร่างกายนายสมภาร  หรือบานจนถึงแก่ความตาย  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๕๙
จำเลยให้การและยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมว่า  จำเลยเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย  มีตำแหน่งเป็นปลัดอำเภอและเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้ตายได้กระทำผิดกฎหมายดื่มสุรามึนเมามาก  ทั้งส่งเสียงเอะอะจึงได้ทำการจับกุมผู้ตาย  ผู้ตายขัดขืนไม่ให้จับและชักอาวุธปืนยิงจำเลยก่อน  จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการป้องกันตัว และจำเลยถือว่าผู้ตายได้กระทำการขัดขวางต่อสู้พนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่จะกระทำการจับกุมโดยชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่เชื่อว่าผู้ตายจะได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยก่อนในคืนเกิดเหตุ  และเห็นว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้ตายให้ตายจริง  จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘  ให้จำคุกจำเลย ๒๐ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าผู้ตายเมาสุราส่งเสียงดัง  จำเลยตั้งใจจะไปตามตำรวจมาจับและไปเอาจักรยานยนต์ที่จอดไว้จะขี่ไป   พอปลดเกียร์จะไสรถออกจำเลยก็ได้ยินเสียงแกร๊ก  หันไปดูเห็นผู้ตายยืนอยู่ห่างจำเลย ๔ วา  ในมือผู้ตายถือปืนจ้องมาทางจำเลย  จำเลยก็ย่อตัวลงบังจักรยานยนต์  แต่เห็นว่าจะไม่ปลอดภัยจึงกระโดดออกจากรถไปให้อยู่ในลักษณะเฉียง ๆ ไม่ให้ตรงกับผู้ตาย  ผู้ตายจ้องปืนตาม  จำเลยร้องว่า  “ซะอย่า”  แล้วกระโดดกลับมาที่รถจักรยานยนต์อีก  ได้ยินเสียงเฉียะในลักษณะลั่นไกปืน  จำเลยจึงยกปืนขึ้นยิงสวนไป ๕ นัดติด ๆ กัน  ส่วนปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๖๘ หรือไม่นั้น  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายใช้อาวุธปืนจ้องยิงจำเลยในระยะใกล้ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว  ก็เรียกได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และใกล้จะถึงอยู่แล้ว จำเลยจึงจำต้องใช้ปืนยิงเพื่อป้องกันสิทธิแห่งชีวิตตน  แต่เท่าที่จำเลยยิงไป ๔-๕ นัด  ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ  เพราะการที่จำเลยได้ยินเสียงดังเฉียะ  จำเลยยิงสวนไปนัดหนึ่งแล้ว  ก็มิได้มีเสียงปืนของผู้ตายดังขึ้นเลย  แล้วจำเลยยังยิงต่อไปอีก  ดังนี้  จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเกินสมควรแก่เหตุที่จะป้องกันตามนัยประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๖๙  พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า  จำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย  การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิแห่งชีวิตของจำเลย  แต่จำเลยได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ  ให้ลงโทษจำคุกจำเลย ๑๐ ปี  นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

