คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กำนันถูกแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการโครงการสร้างถนนเข้าหมู่บ้านเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457เบิกเงินมาเพื่อจ่ายแก่ผู้รับเหมาทำถนนในขณะที่ถนนยังไม่เสร็จ แต่เบิกมาเพื่อจะจ่ายให้ผู้รับเหมาทำงานต่อไปได้ มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินคืนคลังกำนันจ่ายเงินแก่ผู้รับเหมาไปแล้วดังนี้ ขาดเจตนาแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 เป็นเหตุในลักษณะคดีใช้ตลอดถึงจำเลยที่ไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213, 225 แต่เมื่อรับเงินมาแล้วกำนันละเว้นไม่ดำเนินการให้ผู้รับเหมาทำงานต่อไปให้เสร็จตามสัญญา เป็นการทุจริตให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นกำนัน เป็นประธานกรรมการคณะกรรมการดำเนินการตามโครงการพัฒนาท้องถิ่นและช่วยประชาชนในชนบทให้มีงานทำในฤดูแล้งประจำตำบล มีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตำบล จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นราษฎรผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมเป็นกรรมการ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ในการดำเนินการตามโครงการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน ตามที่ได้รับอนุมัติจากทางราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติตามโครงการพัฒนาท้องถิ่นฯ พ.ศ. 2518 โดยได้รับเงินจัดสรรจากรัฐบาลเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามโครงการนี้ 50,000 บาท และคณะกรรมการ ป.ช.ล.ต. ได้ยืมเงินทดรองจากผู้ว่าราชการจังหวัดมาดำเนินการขั้นแรก 10,000 บาท

จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานโดยได้ร่วมกันทำหนังสือขอเบิกเงินที่ค้างอยู่ในการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว 40,000 บาท ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดผ่านนายอำเภอ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานโดยได้ส่งหลักฐานเอกสารใบสำคัญการจ่ายเงินก่อสร้างถนนตามโครงการ50,000 บาทแนบมาด้วย อันเป็นการแสดงว่าได้ดำเนินการสร้างถนนแล้วเสร็จตามโครงการ ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะการดำเนินการก่อสร้างถนนตามโครงการยังไม่เสร็จ โดยเสร็จไปเพียงประมาณ 3 ใน 10 ส่วนเท่านั้น เป็นเหตุให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดหลงเชื่อว่างานก่อสร้างถนนได้แล้วเสร็จตามโครงการ จึงอนุมัติสั่งจ่ายเงินที่ค้างอยู่อีก 40,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับไป ทำให้นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด รัฐบาลและประชาชนได้รับความเสียหาย และจนบัดนี้จำเลยทั้งสามก็เพิกเฉยมิได้ดำเนินการก่อสร้างถนนในส่วนที่ยังไม่แล้วเสร็จตามโครงการแต่อย่างใด อันเป็นการร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายอำเภอผู้ว่าราชการจังหวัด รัฐบาลและประชาชน เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 157, 83

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 และ 157 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ไม่ผิดตามมาตรา 157 คงมีความผิดตาม มาตรา 137

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อ พ.ศ. 2518 รัฐบาลมีนโยบายที่จะพัฒนาท้องถิ่นและช่วยประชาชนในชนบทให้มีงานทำในฤดูแล้ง ได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ เฉพาะในท้องที่เกิดเหตุมีโครงการสร้างถนนแยกเข้าหมู่บ้าน โดยทำเป็นถนนดินลูกรัง ระยะทางประมาณ 500 เมตร เป็นเงิน 50,000 บาท จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกำนันได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว มีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตำบลและจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นราษฎรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นกรรมการด้วย คณะกรรมการดำเนินงานได้เบิกเงินล่วงหน้าจากทางราชการไป 10,000 บาทเพื่อทดรองจ่ายเป็นค่าแรงของคนงาน ต่อมาจำเลยทั้งสามได้ยื่นเรื่องราวขอเบิกเงินค่าก่อสร้างถนนตามโครงการ ทางราชการได้จ่ายเงินให้ไป โดยหักชดใช้เงินยืมทดรองจำนวน 10,000 บาท เหลือเงินที่จ่ายให้ไป 40,000 บาท

ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 นั้น ได้ความว่า ในขณะที่จำเลยขอเบิกเงินที่เหลืออีก 40,000 บาทนั้น งานสร้างถนนตามโครงการยังไม่เสร็จ ผู้รับเหมาหยุดงานเพราะไม่มีเงินที่จะทำต่อไป งานตามโครงการจะต้องทำให้เสร็จภายในกำหนด มิฉะนั้นเงินที่จะต้องจ่ายตามโครงการจะถูกส่งคืนคลัง ซึ่งจะเป็นเหตุให้งานค้าง ในขณะนั้นใกล้จะหมดเวลาตามโครงการแล้ว จำเลยขอเบิกเงินมาก็เพื่อจะจ่ายให้ผู้รับเหมาได้ทำงานต่อไป และได้จ่ายให้ผู้รับเหมาแล้ว แม้ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าทำตามคำแนะนำของนายอำเภอจะไม่เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 แต่ก็เป็นข้อที่แสดงว่า จำเลยกระทำการดังกล่าวไปโดยขาดเจตนาที่จะแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ 225

ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อจำเลยที่ 1 จ่ายเงินค่าจ้างที่เหลือให้ผู้รับเหมาแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการให้ผู้รับเหมาทำงานต่อไปให้เสร็จตามสัญญา เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เมื่อรับเงินมาแล้ว จำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินให้ผู้รับเหมาไปทั้งหมดจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วยนั้น เห็นว่า คำว่า “โดยทุจริต” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(1) นั้น หากว่าการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายก็เป็นการกระทำโดยทุจริตเช่นเดียวกัน คดีนี้การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้รับเหมาได้รับเงินมากกว่าที่ควรจะได้ จึงเป็นการกระทำโดยทุจริต

จำเลยที่ 1 เป็นกำนัน เป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ได้รับแต่งตั้งตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติตามโครงการพัฒนาท้องถิ่นและช่วยประชาชนในชนบทให้มีงานทำในฤดูแล้ง พ.ศ. 2518 เป็นประธานกรรมการโครงการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน มีหน้าที่ดำเนินการตามโครงการให้เสร็จเรียบร้อย จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าพนักงาน แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีและจำนวนเงินที่จ่ายไปตามโครงการแล้ว เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำเลยที่ 1 หนักเกินไปสมควรแก้เสียใหม่

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share