คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภรรยาเอาที่ดินและบ้านเรือน อันเป็นทรัพย์สินบริคณห์ไปทำหนังสือยกให้แก่บุตร ณะที่ว่าการอำเภอ โดยสามีมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ครั้นภายหลังบุตรถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ยึดทรัพย์นั้น สามีจะไปร้องขอให้ปล่อยทรัพย์โดยอ้างว่า เป็นสินบริคณห์ ไม่ได้
สามีร้องขัดทรัพย์ โดยอ้างว่าภรรยาเอาสินบริคณห์ไปยกให้บุตรโดยตนมิได้รู้เห็นยินยอม สัญญายกให้จึงใช้ไม่ได้ครั้นศาลชั้นต้นฟังว่าสามีรู้เห็นยินยอมในการยกให้แล้ว ให้ยกคำร้อง สามีกลับคัดค้านในชั้นศาลอุทรณ์ถือว่า สามีจะต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1476 อีก ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะข้อ ก.ม. นี้มิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ชนะความจำเลย จึงยึดที่ดิน ๒ แปลงเรือน ๑ หลัง ยุ้งข้าว ๑ หลัง ครัวไฟ ๑ หลัง
นายโห้ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่ยึดราคา ๑๒๐๐๐ บาท เป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับนางคิ้มภรรยา ส่วนจำเลยบุตร อาศัยอยู่กับผู้ร้อง นางคิ้มภรรยาลอบเอาทรัพย์ทั้งหมดไป ทำหนังสือยกให้จำเลย ณะที่ว่าการอำเภอ โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอม สัญญายกให้จึงใช้ไม่ได้ ขอให้สั่งถอนการยึด
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การทำสัญญายกให้ที่รายนี้กำนันไปทำการรังวัด ผู้ร้องก็อยู่ แต่ไม่ว่าอะไร จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความชัดว่าผู้ร้องได้รู้เห็นยินยอมให้นางคิ้มภรรยายกทรัพย์สินพิพาทให้เป็นของจำเลย จริง ส่วนข้อกฏหมายที่ว่าผู้ร้องเป็นสามีจะต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๔๗๖ หรือไม่นั้น ข้อนี้ผู้ร้องมิได้ยกกฏหมายที่กล่าวนี้ ขึ้นอ้างมาแต่ศาลชั้นต้น และไม่ใช่เป็นข้อกฏหมายอันเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน

Share