แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือขอเชิญพบโจทก์ทั้ง 2 ครั้ง ไม่ใช่หมายเรียกเพื่อตรวจสอบไต่สวนเป็นเพียงหนังสือขอให้นำเอกสารหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าพนักงานของจำเลยเพื่อประเมินภาษี และโจทก์มิได้รับหนังสือดังกล่าว เพราะโจทก์ย้ายที่อยู่ใหม่ จะถือว่าโจทก์ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษียังฟังไม่ได้ถนัด
โจทก์ถือครองที่ดินในระยะเวลานานพอสมควรและขายเฉพาะส่วนของตนให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โจทก์อุทธรณ์การประเมินเพราะมีเหตุอันควรเชื่อว่าไม่ต้องเสียภาษี ถือว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงการชำระภาษีตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน
โจทก์ได้ชำระภาษีพร้อมเงินเพิ่มแก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่ยังคงค้างชำระเบี้ยปรับและภายหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องคดี โจทก์ยังได้ชำระภาษีให้แก่จำเลยอีกบางส่วน พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแสดงว่าโจทก์มิได้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามการประเมิน แม้ขณะที่มีการประเมิน คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 127/2546 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2546 ซึ่งกำหนดแนวทางให้จำเลยงดเบี้ยปรับภาษีได้นั้นจะยังไม่มีผลใช้บังคับ แต่คำสั่งดังกล่าวกำหนดเพื่อเป็นการบรรเทาภาระเบี้ยปรับให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและได้ขายอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2542 เมื่อโจทก์ขายที่ดินในวันที่ 18 มีนาคม 2537 และกรณีของโจทก์ยังไม่ยุติตามการประเมิน คำสั่งนี้จึงนำมาเป็นเหตุผลประกอบในการพิจารณาบรรเทาเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนของเบี้ยปรับ ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ. 73.1) เลขที่ 2007340/6/100324 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2545 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ สภ.2/อธ.3/10/18/48 ลงวันที่ 27 เมษายน 2548 ให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้จำเลยคืนภาษีธุรกิจเฉพาะ (ที่ถูก ภาษีธุรกิจเฉพาะและเงินเพิ่ม) ที่โจทก์ชำระไปแล้วจำนวน 108,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะส่วนของเบี้ยปรับ โดยให้งดเบี้ยปรับเสียทั้งสิ้น และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในส่วนของเบี้ยปรับจำนวน 108,000 บาท โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะส่วนของเบี้ยปรับ โดยให้งดเบี้ยปรับเสียทั้งสิ้นชอบหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับประโยชน์จากคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 127/2546 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2546 นั้น คำสั่งดังกล่าวใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป แต่ขณะเจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมินในวันที่ 8 กรกฎาคม 2545 คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 127/2546 ยังไม่ใช้บังคับ และโจทก์มีเจตนาไม่เสียภาษีโดยไม่ยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยมีหนังสือขอเชิญพบโจทก์ 2 ครั้ง ไปรษณีย์ส่งกลับแจ้งว่าย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่ แต่จากการคัดหลักฐานทะเบียนราษฎรพบว่าไม่มีการแจ้งย้ายที่อยู่ เมื่อโจทก์ได้รับทราบการประเมินแล้วไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วน ทั้งยังได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะชำระภาษีอากรตามการประเมิน โจทก์ไม่สมควรได้รับการผ่อนผันให้งดเบี้ยปรับตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2542 จึงไม่มีเหตุควรผ่อนผันงดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ตามที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษา นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า หนังสือขอเชิญพบทั้ง 2 ครั้ง ดังกล่าวไม่ใช่หมายเรียกเพื่อตรวจสอบไต่สวนเป็นเพียงหนังสือเชิญพบโดยขอให้นำเอกสารหลักฐานอันควรแก่เรื่องไปแสดงต่อเจ้าพนักงานของจำเลย และโจทก์มิได้รับหนังสือดังกล่าว ไปรษณีย์แจ้งว่าโจทก์ย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่ จึงไม่สามารถส่งหนังสือขอเชิญพบทั้ง 2 ครั้ง จะถือว่าโจทก์ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษียังฟังไม่ได้ถนัด ตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเลขที่ 123546 โจทก์และนายสมชายร่วมกันซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2532 ต่อมาโจทก์ได้ขายเฉพาะส่วนให้นายสมชายเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2537 เป็นการถือครองที่ดินในระยะเวลานานพอสมควรและขายเฉพาะส่วนของตนให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อพิจารณาสารบัญจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินเลขที่ 123546 โฉนดที่ดินเลขที่ 196080 โฉนดที่ดินเลขที่ 196078 และโฉนดที่ดินเลขที่ 196079 แล้วระบุว่า โจทก์และนายสมชายถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกันและมีการโอนขายที่ดินสลับแปลงกันจริงตรงตามข้อเท็จจริงที่โจทก์อุทธรณ์การประเมิน การที่โจทก์อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวเพราะมีเหตุอันควรเชื่อว่าไม่จำต้องเสียภาษี ไม่พอฟังว่าโจทก์มีเจตนาจะไม่ชำระภาษีตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามที่จำเลยอุทธรณ์ ทั้งยังปรากฏตามรายงานการพิจารณาอุทธรณ์ของนางสาวพวงทอง นิติกร 7 ว เจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์ และรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนกรรมการเสียงข้างน้อยซึ่งเป็นผู้แทนกรมสรรพากร ว่า เนื่องจากกรมสรรพากรมีแนวทางเพื่องดเบี้ยปรับสำหรับการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 127/2546 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2546 เรื่อง มอบหมายให้สั่งงดเบี้ยปรับภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรบางกรณี โดยกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณางดเบี้ยปรับเฉพาะกรณีบุคคลธรรมดาขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 หรือมาตรา 4 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ.2541 ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2542 จึงเห็นสมควรงดเบี้ยปรับตามการประเมินให้แก่ผู้อุทธรณ์ และนางสาวพวงทองได้เบิกความเป็นพยานจำเลยว่า โจทก์ได้ชำระภาษีพร้อมเงินเพิ่มแก่จำเลยครบถ้วนแล้ว ยังคงค้างชำระเบี้ยปรับจำนวน 108,000 บาท และภาษีส่วนท้องถิ่น 10,800 บาท รวมเป็นเงิน 118,800 บาท ภายหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ โจทก์ยังได้ชำระภาษีให้แก่จำเลยเป็นเงิน 1,925.25 บาท เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2548 และชำระอีก 2,151.72 บาท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2549 ดังนั้นยังคงค้างชำระ 114,723.03 บาท พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแสดงว่าโจทก์มิได้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามการประเมิน แม้ขณะที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2545 ดังกล่าวแก่โจทก์คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.127/2546 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2546 ยังไม่มีผลใช้บังคับ แต่คำสั่งดังกล่าวกำหนดเพื่อเป็นการบรรเทาภาระเบี้ยปรับให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและได้ขายอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2542 เมื่อโจทก์ขายที่ดินในวันที่ 18 มีนาคม 2537 และกรณีของโจทก์ยังไม่ยุติตามการประเมินย่อมใช้คำสั่งนี้เป็นเหตุผลประกอบในการพิจารณาบรรเทาเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า มีเหตุอันควรงดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.