แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดในคดีก่อนกับความผิดในคดีนี้เป็นความผิดกรรมเดียวกันแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีก่อนเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงและโกงเจ้าหนี้และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงไปแล้ว ถือได้ว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว โจทก์จะนำความผิดเดียวกันนั้นมาฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมอีกไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำเอกสารสิทธิปลอมทั้งฉบับแสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 14499 แล้วจำเลยทั้งสองได้นำเอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวไปใช้แก่โจทก์โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินจึงรับซื้อไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265, 266และ 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง ต่อมาได้จำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในสำนวนคดีก่อนโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานฉ้อโกงและโกงเจ้าหนี้ โดยบรรยายฟ้องไว้ในคดีก่อนด้วยแล้วว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำโฉนดที่ดินเลขที่ 14499 มีชื่อจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของโอนขายให้แก่โจทก์และรับเงินไปจากโจทก์ 250,000 บาท จำเลยทั้งสองได้รับรองว่าโฉนดดังกล่าวเป็นของทางราชการกรมที่ดินทำให้โจทก์หลงเชื่อให้เงินแก่จำเลยทั้งสองไป ต่อมาโจทก์จึงทราบว่าโฉนดดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ดังนี้เห็นได้ว่าความผิดในคดีก่อนกับความผิดในคดีนี้เป็นความผิดกรรมเดียวกันแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีก่อนเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงและโกงเจ้าหนี้ แต่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงไปแล้วเช่นนี้ ถือได้ว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว โจทก์จะนำความผิดเดียวกันนั้นมาฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมอีกไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
พิพากษายืน