แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองครั้งที่ 9 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2545 ไว้ก่อนทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเป็นกรณีที่โจทก์ของดการบังคับคดีไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 292 (3)(เดิม) ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติตาม การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับคำแถลงของโจทก์ดังกล่าวแล้วมีคำสั่งให้ยกคำแถลงดังกล่าวโดยไม่แจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบ จากนั้นดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองต่อไป ถือว่าได้กระทำไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว กรณีมีเหตุสมควรให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน 1,443,455.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,425,934.27 บาท แก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสี่ตกลงชำระหนี้เป็นงวด ๆ อย่างน้อยงวดละ 30,000 บาท โดยชำระงวดแรกภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 และงวดต่อไปภายในวันที่ 30 ของทุกเดือน ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2542 หากจำเลยทั้งสี่ผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดในหนี้ทั้งหมดและยินยอมให้โจทก์บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 11562, 11563 ตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดี แล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 11562 ไปในราคา 200,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 11563 ไปในราคา 400,000 บาท
โจทก์ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาด
จำเลยทั้งสี่และผู้ซื้อทรัพย์ไม่ยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในครั้งวันที่ 7 สิงหาคม 2545 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ได้ยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ตามคำพิพากษาตามยอม มีการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดมา 8 ครั้งแล้ว แต่ยังขายไม่ได้ ในการประกาศขายทอดตลาดครั้งที่ 9 โจทก์ได้มีหนังสือขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีไว้ก่อนทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ เจ้าพนักงานบังคับคดีรับทราบแล้ว แต่มีคำสั่งยกคำแถลง ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์
มีปัญหาต้องพิจารณาตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดครั้งดังกล่าวของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ โจทก์อ้างว่าได้แจ้งของดการบังคับคดีให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบโดยชอบแล้ว เห็นว่า การยื่นคำแถลงแจ้งเรื่องการขอให้งดการบังคับคดีให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้กระทำ ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งของดการบังคับคดีไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อนการขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีเจ้าของสำนวนทราบแล้ว แต่มีคำสั่งให้ยกคำแถลง และในวันรุ่งขึ้น (5 สิงหาคม 2545) นางจารุณีพนักงานโจทก์ได้โทรศัพท์ไปหาเจ้าหน้าที่ของสำนักงานบังคับคดีดังกล่าวสอบถามว่าได้รับคำแถลงของดการบังคับคดีฉบับดังกล่าวไว้แล้วหรือไม่ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานบังคับคดีแจ้งว่าได้รับแล้ว แต่ไม่แจ้งเรื่องคำสั่งยกคำแถลงให้พนักงานโจทก์ทราบทำให้โจทก์ไม่ได้ไปดูแลการขายทอดตลาดตามกำหนดเดิม เจ้าพนักงานบังคับคดียังได้ขายทอดตลาดทรัพย์ให้ผู้ซื้อทรัพย์ไป เช่นนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ของดการบังคับคดีไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (3) (เดิม) ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติตาม การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไปถือว่าได้กระทำไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว กรณีมีเหตุสมควรให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของโจทก์นั้นยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้ออื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
1/2