แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองและ ส. ต่างเป็นลูกหนี้โจทก์ร่วมกัน โจทก์มีสิทธิเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่ง สิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่จำเลยทั้งสองกับ ส. ก็ยังคงต้องผูกพันอยู่จนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 291 ดังนั้นการที่โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และของ ส. แต่ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 เพียงรายเดียว และรับชำระหนี้จาก ส. 7,200,000 บาท แล้วปลดจำนองให้ ส. นั้น จึงเป็นการใช้สิทธิของโจทก์ที่กระทำได้โดยชอบ
การที่ศาลจะพิพากษาให้ผู้ใดล้มละลายเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลเฉพาะบุคคลนั้น ๆ จะนำเหตุ ที่โจทก์ไม่ฟ้อง ส. ให้ล้มละลาย ทั้งที่ ส. เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยทั้งสองมาเป็นเหตุยกฟ้องย่อมไม่ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีหลักฐานยืนยันถึงจำนวนเงินรายได้ต่อเดือนมาแสดง ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินมายืนยัน อีกทั้งทรัพย์สินบางรายการก็ติดจำนองกับเป็นมรดกระหว่างพี่น้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย มาตรา 14
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองและนายสมานยังมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและ นายสมาน ลีพิลา ผู้ค้ำประกัน ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน ๙,๖๓๒,๗๒๔.๑๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๙,๐๗๓,๔๐๔.๗๐ บาท หากจำเลยทั้งสองและนายสมานไม่ชำระให้นำทรัพย์ที่จำเลยที่ ๒ และนายสมานจำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสองและนายสมานไม่ชำระหนี้ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ที่จำเลยที่ ๒ และนายสมานจำนองไว้เป็นประกันและขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ ๒ ไป หักค่าธรรมเนียมชั้นบังคับคดีแล้วโจทก์ได้รับชำระหนี้จากการขายทรัพย์จำนองของจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๒,๘๓๓,๒๙๙ บาท ต่อมานายสมานผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์รวม ๒๔ ครั้ง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๗,๒๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์นำเงินดังกล่าวหักชำระดอกเบี้ยและเงินต้นถึงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ จำเลยทั้งสองและนายสมานค้างชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน ๖,๗๐๐,๑๐๖.๙๔ บาท โจทก์จึงถอนการยึดทรัพย์จำนองของนายสมาน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองและนายสมานมิได้ชำระหนี้ให้โจทก์ คิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองและนายสมานค้างชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน ๑๐,๓๗๘,๖๐๑.๕๘ บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสองทางไปรษณีย์ตอบรับ ๔ ครั้ง แต่ละครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน และโจทก์ทวงถามโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันอีก ๒ ครั้ง แต่ละครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้โจทก์ คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินพอชำระหนี้โจทก์จนครบหรือไม่ และมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นลูกหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙ โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำเลยที่ ๒ ขายทอดตลาดแล้วยังมีหนี้ ค้างชำระอยู่อีก ๑๐,๓๗๘,๖๐๑.๕๘ บาท โจทก์ทวงถามโดยส่งหนังสือทวงถามทางไปรษณีย์ตอบรับและประกาศ ทางหนังสือพิมพ์ จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ และโจทก์ยังนำสืบอีกด้วยว่า ได้ติดตามสืบหาทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสองแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินอื่นที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีจึงเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๘ (๕) และ (๙) จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้คดีอ้างว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทฮวงไท จำกัด ได้รับเงินเดือน เดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมค่าคอมมิชชั่นแล้ว จำเลยที่ ๑ มีรายได้เดือนละประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเหมืองแร่หินอ่อน จำกัด แต่ละปีบริษัทมีกำไรประมาณ ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ มีบ้านและที่ดินที่หมู่บ้านเสนานิเวศน์ ราคาประมาณ ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่ดินและบ้านที่อำเภอเมืองนครราชสีมา ราคาประมาณ ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่ดินที่จังหวัดเชียงใหม่ ราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ และที่ดินที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ราคาประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เห็นว่า เงินรายได้ประจำเดือนที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าได้รับเดือนละประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท นั้น จำเลยที่ ๑ มิได้นำหลักฐานมายืนยันว่าได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจริง ทั้งเมื่อหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวแล้วจำเลยที่ ๑ ยังมีเงินเหลืออยู่เดือนละเท่าใดก็ไม่ได้ ความแน่ชัด ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้น ก็ปรากฏว่าบ้านและที่ดินที่หมู่บ้านเสนานิเวศน์ติดจำนองธนาคารเป็นเงิน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ส่วนที่ดินและบ้านที่อำเภอเมืองนครราชสีมานั้นก็เป็นทรัพย์มรดกระหว่างพี่น้อง คงมี ที่ดินที่จังหวัดเชียงใหม่ และที่ดินที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งจำเลยที่ ๒ อ้างว่ามีราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ แต่จำเลยที่ ๒ ก็มิได้นำหลักฐานเช่น โฉนดที่ดิน มายืนยันความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ต่อศาล ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดอันจะเป็นเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกา ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔ .