แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ได้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 หรือไม่ แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวว่าจำเลยที่ 3 แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 มาด้วยก็ตามแต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้และโจทก์ก็มิได้คัดค้าน ถือได้ว่าโจทก์สละประเด็นข้อนี้แล้ว ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1ที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ได้เชิดจำเลยที่ 3 ให้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 3 ได้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 โดยเข้าทำสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์คอนกรีตกับโจทก์คือ เสาเข็มคอนกรีตหกเหลี่ยม รวมราคา 171,672 บาท ชำระแล้ว 34,335 บาท คงค้างชำระอยู่ 137,337 บาท ต่อมาจำเลยที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการเชิดของจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อผลิตภัณฑ์คอนกรีต และค้างชำระอีก203,840 บาท และจำเลยที่ 3 ได้สั่งเพิ่มเสาเข็มคอนกรีตอีกแต่ไม่ชำระราคา รวมราคาที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้อยู่ทั้งหมด374,717 บาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 382,416 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน 374,717 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2ให้การว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์คอนกรีตกับโจทก์ และไม่เคยเชิดจำเลยที่ 3 ให้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 อ้างชื่อจำเลยที่ 1 เข้าทำนิติกรรมกับโจทก์โดยพลการ จำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบอำนาจให้บุคคลอื่นเข้ากระทำการดังกล่าวได้ จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ที่ 2และทำสัญญาซื้อขายในนามจำเลยที่ 1 ที่ 2 โจทก์ชอบที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะตอนต้นอ้างว่าจำเลยที่ 3 แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 แต่ต่อมากลับอ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นสองฝักสองฝ่าย ไม่ทราบจะให้จำเลยที่ 3รับผิดในฐานะใด ทำให้ไม่สามารถให้การต่อสู้คดีได้ ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยอมรับผิดชำระเงินให้โจทก์ 186,670 บาทโจทก์คงดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 3 ต่อไปศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 382,416 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ในต้นเงิน 374,717 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้รับผิดไม่เกิน 186,670 บาทพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1ที่ 2 จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 3เป็นผู้ไปแสดงตนต่อโจทก์ขอซื้อผลิตภัณฑ์คอนกรีต 2 ครั้ง ได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ตามสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์คอนกรีตเอกสารหมายจ.4, จ.5 มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยที่ 3 ได้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิใช่เป็นเพียงตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 อย่างเดียว จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1054 หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ได้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 หรือไม่ แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวว่าจำเลยที่ 3 แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 มาด้วยก็ตามแต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้และโจทก์ก็มิได้คัดค้านแต่อย่างใด ถือได้ว่าโจทก์สละประเด็นข้อนี้แล้ว ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าต่อโจทก์”
พิพากษายืน