คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3758/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกา แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจะปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์บางส่วน ก็ไม่เป็นเหตุที่ศาลฎีกาจะรับฎีกาของจำเลยไว้วินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ (๑) (๒) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ รวม ๔ กระทง ให้จำคุกกระทงละ ๑ เดือน รวมจำคุก ๔ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ชั้นอุทธรณ์จำเลยกล่าวในอุทธรณ์ว่า “จำเลยได้สำนึกผิด จึงขอรับสารภาพ ไม่ขอโต้แย้งและต่อสู้อีก เพียงแต่อุทธรณ์ขอให้ศาลรอการลงอาญาแก่จำเลยไว้ก่อน” ชั้นฎีกาจำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเป็นฎีกาส่งขึ้นมาเฉพาะฎีกาในข้อกฎหมาย โดยฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยกล่าวว่า การที่โจทก์ยึดรถที่เช่าซื้อไปจากจำเลยถือได้ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว เช็คตามฟ้องซึ่งออกเพื่อชำระค่าเช่าซื้อย่อมสิ้นผลผูกพัน ประการหนึ่ง ไม่ปรากฏความเสียหายแก่โจทก์หลังจากโจทก์ยึดรถคืนไปแล้ว เช็คตามฟ้องจึงไม่ใช่เช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ประการหนึ่ง และโจทก์เป็นผู้แนะนำให้จำเลยเปิดบัญชีที่ธนาคารแห่งใหม่เพื่อมีเช็คมาสั่งจ่ายมอบให้โจทก์ โดยโจทก์ทราบว่า จำเลยไม่มีเงินฝากในธนาคาร การที่จำเลยออกเช็คก็ด้วยการสมยอมของโจทก์ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องอีกประการหนึ่ง ฎีกาของจำเลยดังกล่าวนี้เป็นฎีกาในเนื้อหาแห่งคดี และไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์บางส่วน ก็ไม่เป็นเหตุที่ศาลฎีกาจะรับฎีกาของจำเลยไว้วินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย.

Share