แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาการรับทุน ก.พ. เพื่อไปศึกษาวิชาในต่างประเทศที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ระบุว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญานอกจากจะต้องรับผิดชดใช้ทุน ก.พ. คืนโจทก์แล้ว ต้องใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับทุนดังกล่าวให้เป็นเบี้ยปรับแก่โจทก์ด้วย ดังนี้ เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 ไม่ว่าสัญญาดังกล่าวจะทำกับส่วนราชการหรือไม่ก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาวิชาในต่างประเทศ ได้ทำสัญญารับทุน ก.พ. ให้ไว้ต่อโจทก์ว่า จำเลยจะเข้ารับราชการตามที่ ก.พ. กำหนดให้และจะรับราชการอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของระยะเวลาที่จำเลยได้ศึกษาวิชาในต่างประเทศโดยทุน ก.พ. ถ้าจำเลยไม่กลับประเทศไทยภายในเวลาที่ ก.พ. กำหนด หรือไม่ยอมเข้ารับราชการตามที่ ก.พ. กำหนด จำเลยยินยอมชดใช้ทุนที่สำนักงาน ก.พ. ได้จ่ายไปแล้วทั้งสิ้น กับใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับจำนวนทุน ก.พ. ดังกล่าวให้เป็นเบี้ยปรับ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ได้เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ไว้ต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ เดินทางไปศึกษาวิชา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมเวลา ๗ ปี แล้วทำเรื่องขออนุมัติจากโจทก์ขยายเวลาศึกษาต่ออีก ๒ ปี แต่โจทก์ไม่อนุมัติและแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ยุติการศึกษาและเดินทางกลับมาปฏิบัติราชการ แต่จำเลยไม่ยอมกลับและขอลาออกจากทุน ก.พ. และจะยอมชดใช้ทุนทั้งหมดตามสัญญาแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้รับทุนไปแล้วคือเงิน ๒,๐๒๔ บาท และเงินดอลล่าร์สหรัฐ ๔๖,๖๔๘.๔๓ ดอลล่าร์ เมื่อคิดค่าปรับจำนวนหนึ่งเท่า จำเลยที่ ๑ ต้องชดใช้ให้แก่โจทก์รวมเป็นเงิน ๔,๐๔๐ บาท และเงินดอลล่าร์สหรัฐ จำนวน ๔๓,๒๔๖.๘๖ ดอลล่าร์ จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ๔,๔๐๐ ดอลล่าร์ จึงเหลือเงินทุนและเบี้ยปรับจำนวน ๔,๐๔๐ บาท กับ ๔๘,๐๔๖.๘๖ ดอลล่าร์ คิดอัตราแลกเปลี่ยนขณะฟ้อง ๑ ดอลล่าร์สหรัฐ เท่ากับ ๒๓.๐๕ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๒,๐๔๐,๘๑๗.๖๒ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี
จำเลยทั้งสามให้การว่า เมื่อโจทก์ไม่อนุมัติตามที่จำเลยที่ ๑ ขอขยายระยะเวลาศึกษาต่ออีก ๒ ปี และเรียกตัวจำเลยที่ ๑ กลับมารับราชการ จำเลยที่ ๑ เห็นว่าใกล้สำเร็จแล้ว หากกลับมารับราชการระยะหนึ่งแล้วกลับไปศึกษาต่ออาจขาดสภาพการศึกษาปริญญาเอก จำเลยที่๑ ได้ปรึกษาเจ้าหน้าที่กองการศึกษาต่างประเทศประจำประเทศสหรัฐอเมริกาผู้แทนโจทก์ ได้รับการแนะนะว่าให้จำเลยที่ ๑ ลาออกจากทุนของโจทก์และทำบันทึกว่าจะใช้เงินทุนให้โจทก์ เมื่อศึกษาจบแล้วสามารถกลับรับราชการเพื่อใช้ทุนที่เหลือได้ จำเลยที่ ๑ จึงหาออกจากทุนของโจทก์และทำบันทึกว่าจะใช้ทุนคืน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ทราบว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงเดินทางกลับประเทศไทยและติดต่อกับโจทก์รายงานตัวขอกลับเข้ารับราชการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่มีปัญหาติดขัดเกี่ยวกับระเบียบราชการ ที่จำเลยที่ ๑ ลาออกจากทุนของโจทก์ จำเลยที่ ๑ เชื่อโดยสุจริตว่า เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเรื่องขอลาราชการของจำเลยที่ ๑ เช่นที่เคยปฏิบัติมา การที่จำเลยที่ ๑ รายงานตัวเพื่อขอกลับรับราชการตามความประสงค์ของโจทก์แล้ว จึงไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายถึงต้องปรับจำเลยทั้งสามเป็นเงินถึงหนึ่งเท่าของเงินทุน ขอศาลลดเบี้ยปรับ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระเงินทุนการศึกษาคืนให้โจทก์อีก ๙๐๓,๔๔๖.๓๑ บาท แต่จำเลยที่ ๑ ได้วางเงินจำนวน ๖๘๐,๐๐๐ บาท เพื่อชำระหนี้ทุนการศึกษาบางส่วนให้โจทก์คงเหลือ ๒๔๓,๔๔๖.๓๑ บาท และเงินค่าปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๓๐๓,๔๔๖.๓๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าปรับแก่โจทก์เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงินที่จะต้องชำระตามสัญญาจำนวน ๒๔๓,๕๔๖.๓๑ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔๓,๕๔๖.๓๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาการรับทุน ก.พ. เพื่อไปศึกษาวิชาในต่างประเทศที่จำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ไว้ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๑ ระบุว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา นอกจากจะต้องรับผิดชดใช้ทุน ก.พ. คืนโจทก์แล้ว ต้องใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับทุน ก.พ. ดังกล่าวให้เป็นเบี้ยปรับแก่โจทก์ด้วย ตามข้อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ดังกล่าว เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ ไม่ว่าสัญญาดังกล่าวจะทำกับส่วนราชการหรือไม่ก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่า จำนวนค่าปรับที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์จำนวน ๙๐,๐๐๐ บาทต่ำไป แต่ถ้าจะให้จำเลยที่ ๑ รับผิดเต็มจำนวนก็สูงเกินส่วน เพราะจำเลยที่ ๑ ก็กลับเข้ารับราชการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว เมื่อได้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียทุกอย่างของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่เพียงทางได้ทางเสียในเชิงทรัพย์สิน เห็นสมควรกำหนดให้จำเลยที่ ๑ ชำระเบี้ยปรับให้โจทก์จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงินที่ค้างชำระเป็นเงิน ๔๙๕,๔๔๖.๓๑ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๙๓,๔๔๖.๓๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์