คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3741/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของจำเลย โดยก่อสร้างระเบียงคร่อมลำรางสาธารณะจนติดผนังอาคารของโจทก์ และจำเลยได้สร้างประตูเหล็กยืดปิดกั้นลำรางสาธารณะ และช่องว่างระหว่างอาคารของโจทก์กับลำรางสาธารณะทางด้านหน้าทั้งหมด ลำรางสาธารณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยจะสร้างประตูเหล็กยืดโจทก์ได้ใช้ลำรางสาธารณะเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับลำเลียงสินค้าเข้าไปในร้าน ซึ่งลำรางสาธารณะนี้ติดกับด้านข้างที่ดินของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้เป็นทางเข้าออกได้ การที่จำเลยทำประตูเหล็กยืดปิดกั้น จึงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับลำเลียงสินค้าเข้าไปในร้านได้ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นตามปกติ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำประตูเหล็กให้รื้อถอนประตูเหล็กยืดออกไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และผู้มีชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 479 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 71 ตารางวา ทิศเหนือจดที่ดินนายดำรง ตันนุกิจ ทิศตะวันออกจดถนนภูเก็ต ทิศตะวันตกจดที่ดินกระทรวงการคลัง และมีการก่อสร้างอาคาร 2 ชั้น 7 คูหาคือบ้านเลขที่ 196/1-7 ลงในที่ดินแปลงนี้ ในการก่อสร้างอาคารได้ปลูกสร้างเว้นห่างจากเขตที่ดินด้านที่ติดกับเขตลำรางสาธารณะกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวตลอดแนวเขตที่ดินของโจทก์ เพื่อเว้นไว้เป็นทางเดินผ่านเข้าออกทางหลังอาคารดังกล่าว และโจทก์ได้ใช้ลำรางสาธารณะดังกล่าวเป็นทางผ่านเข้าออกอีกส่วนหนึ่งด้วย จำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 469, 471 และจำเลยเป็นผู้ทรงสิทธิการเช่าที่ดินของกระทรวงการคลังตามโฉนดเลขที่ 470ที่ดินของจำเลยและที่ดินที่จำเลยเช่ามีเขตติดต่อเป็นแปลงเดียวกันที่ดินโฉนดเลขที่ 469 มีอาณาเขตติดต่อกับลำรางสาธารณะ ลำรางดังกล่าวมีเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ เมื่อประมาณกลางปี 2523 จำเลยได้ยื่นแบบแปลนต่อทางราชการขออนุญาตก่อสร้างอาคารลงในที่ดินของจำเลยและที่ดินที่จำเลยเช่า เป็นอาคาร 3 ชั้น 3 คูหา จนแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2525 ต่อมาเมื่อประมาณต้นปี 2526 จำเลยได้ก่อสร้างต่อเติมเป็นระเบียงที่ชั้น 2 ของตัวอาคารยื่นออกคร่อมลำรางสาธารณะ และรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่เว้นไว้ 1 เมตร ตลอดแนวเขตที่ดินของโจทก์ ยื่นออกไปติดกับผนังอาคารของโจทก์ เนื้อที่ประมาณ26 ตารางเมตร และจำเลยใช้ผนังอาคารของโจทก์เป็นผนังระเบียงและสร้างหลังคาครอบอีกชั้นหนึ่ง นอกจากนั้นจำเลยได้ก่อสร้างรั้วปิดกั้นที่ดินช่วง 1 เมตรของโจทก์ และปิดกั้นลำรางสาธารณะทั้งด้านในและด้านนอก ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่ 26 ตารางเมตรของโจทก์ได้ ผนังอาคารก็ต้องรับภาระเพิ่มขึ้น โจทก์มีสิทธิคิดค่าเสียหายจากการที่จำเลยใช้ที่ดินและผนังอาคารของโจทก์เป็นรายวัน วันละ 150 บาท โจทก์ไม่อาจใช้ลำรางสาธารณะผ่านเข้าออกไปด้านหลังอาคารของโจทก์เพื่อนำสินค้าไปเก็บทางด้านหลังและขาดความสะดวก ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นรายวัน วันละ 350 บาท ขอให้จำเลยรื้อถอนระเบียงอาคารและรั้วทั้งด้านในและด้านนอก ออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์และพ้นไปจากลำรางสาธารณะ และห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์มีสิทธิดำเนินการรื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยสร้างอาคารและสิ่งต่อเติมคร่อมลำรางสาธารณะล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินทางด้านข้างอาคารของโจทก์ที่โจทก์อ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์และโจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินของจำเลยที่โจทก์อ้างว่าเป็นลำรางสาธารณะจำเลยไม่ได้สร้างอาคารคร่อมลำรางสาธารณะและรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เลย จำเลยสร้างในที่ดินของจำเลยและยังสร้างไม่เต็มเนื้อที่ของจำเลย ทั้งนี้เพราะโจทก์ได้สร้างอาคารของโจทก์ลงในที่ดินส่วนที่เป็นลำรางซึ่งเดิมลำรางนี้เป็นที่ดินที่อยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ตัดเนื้อที่ดินส่วนที่เป็นลำรางนี้ออกจากโฉนดที่ดินของโจทก์ ซึ่งหากโจทก์ตัดส่วนที่ดินที่เป็นลำรางออกจากโฉนดที่ดินของโจทก์แล้ว เนื้อที่ดินของโจทก์จะต้องลดน้อยลงกว่าเดิมแต่โจทก์ก็ยังยึดถือตามเนื้อที่ดินเดิมตามโฉนดอยู่ จึงทำให้การก่อสร้างอาคารของโจทก์ทับลำรางและรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยและจำเลยไม่เคยอาศัยใช้ฝาผนังอาคารของโจทก์ หากที่พิพาทดังกล่าวเป็นลำรางสาธารณะก็หาใช่สิทธิของโจทก์ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิมาฟ้องจำเลย และจำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะปิดกั้นและใช้ประโยชน์แต่ผู้เดียวไม่ ที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยเพราะฉะนั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ไม่ได้เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้มีชื่อในโฉนดเลขที่ 479 ตำบลบางเหนียว(ปัจจุบันเป็นตำบลตลาดใหญ่) อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ตเนื้อที่ 1 ไร่ 71 ตารางวา ทิศเหนือจดลำรางสาธารณะ จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 469 ตำบลบางเหนียว(ปัจจุบันเป็นตำบลตลาดใหญ่) อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ตทิศใต้จดลำรางสาธารณะ ที่ดินของโจทก์ติดกับที่ดินของจำเลยโดยมีลำรางสาธารณะคั่น โจทก์ปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของโจทก์ห่างลำรางสาธารณะประมาณ 1 เมตร จำเลยปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของจำเลยคร่อมลำรางสาธารณะ โดยก่อสร้างระเบียบคร่อมลำรางสาธารณะจนติดผนังอาคารของโจทก์ และจำเลยได้สร้างประตูเหล็กยืดปิดลำรางสาธารณะและช่องว่างระหว่างอาคารของโจทก์กับลำรางสาธารณะทางด้านหน้าทั้งหมดคดีมีปัญหาว่า จำเลยก่อสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อประตูเหล็กยืดหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด
ปัญหาว่า จำเลยก่อสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่หรืออีกนัยหนึ่งช่องว่างระหว่างอาคารของโจทก์กับลำรางสาธารณะเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่ โจทก์คงมีตัวโจทก์ผู้เดียวเป็นพยานว่าช่องว่างดังกล่าวเป็นที่ดินของโจทก์ โจทก์เว้นไว้เป็นทางเดินเข้าออกหลังอาคารของโจทก์ พยานอื่น ๆ ของโจทก์หามีผู้ใดทราบว่าช่องว่างนั้นอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ไม่ และตามที่โจทก์นำสืบโดยอ้างตนเองเบิกความว่า โจทก์ต้องเว้นช่องดังกล่าวไว้นั้นเป็นไปตามแบบแปลนที่ขออนุญาตต่อเทศบาล แต่โจทก์ก็หาได้อ้างนายช่างผู้ควบคุมการก่อสร้างมาสืบอธิบายแบบแปลนดังที่อ้างนั้นไม่อีกทั้งที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินมีโฉนด มีจำนวนเนื้อที่แน่นอนตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องและรูปแผนที่หลังโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1ที่ดินของโจทก์มีแนวเขตเป็นเส้นตรงย่อมเป็นการง่ายที่จะสอบจำนวนเนื้อที่หาแนวเขต หรือสอบความยาวของแนวเขตด้านข้างลำรางสาธารณะซึ่งติดถนนภูเก็ตโดยคำนวณตามแผนที่ แต่โจทก์หาได้จัดการดังนั้นไม่โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างข้อเท็จจริงต้องนำสืบข้อเท็จจริงให้ได้ความตามฟ้อง ซึ่งอาจทำให้โดยง่ายแต่โจทก์ไม่ทำ เห็นว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องว่าช่องว่างระหว่างอาคารของโจทก์กับลำรางสาธารณะเป็นที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่อาจชนะคดีจำเลยได้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อประตูเหล็กยืดหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า จำเลยปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของจำเลยคร่อมลำรางสาธารณะ โดยก่อสร้างระเบียงคร่อมลำรางสาธารณะจนติดผนังอาคารของโจทก์ และจำเลยได้สร้างประตูเหล็กยืดปิดกั้นลำรางสาธารณะ และช่องว่างระหว่างอาคารของโจทก์กับลำรางสาธารณะทางด้านหน้าทั้งหมด เห็นว่า ลำรางสาธารณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยจะสร้างประตูเหล็กยืดดังกล่าว โจทก์ได้ใช้ลำรางสาธารณะเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับลำเลียงสินค้าเข้าไปในร้าน ซึ่งลำรางสาธารณะนี้ติดกับด้านข้างที่ดินของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้เป็นทางเข้าออกได้ การที่จำเลยทำประตูเหล็กยืดปิดกั้นจึงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับลำเลียงสินค้าเข้าไปในร้านได้ ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นตามปกติ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำประตูเหล็กให้รื้อถอนประตูเหล็กยืดออกไปได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า การที่จำเลยสร้างประตูเหล็กยืดปิดกั้นลำรางสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเช่นนี้มิได้ปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์จนโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่เสียหาย และตามพฤติการณ์ยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะบังคับให้จำเลยรื้อถอนประตูเหล็กยืดออกไปได้ แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรื้อถอนประตูเหล็กยืดออกไปจากลำรางสาธารณะ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 10,950 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายต่อ ๆ ไปเป็นรายวันวันละ30 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนประตูเหล็กยืดออกไปจากลำรางสาธารณะ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share