คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3733/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์แยกฟ้องเป็น 3 ข้อ แต่ระบุวันเวลากระทำผิด คือระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม 2530 ถึงวันที่ 16 มกราคม 2531เวลากลางวันจำเลยได้ทำเอกสารและเอกสารราชการปลอมและให้วันที่ 16 มกราคม 2531 เวลากลางวันจำเลยจึงนำเอกสารที่ทำปลอมดังกล่าวไปใช้แสดงเพื่อพยายามฉ้อโกง ดังนี้ทำให้เห็นได้ว่าจำเลยทำเอกสารและเอกสารราชการปลอมก็เพื่อจะนำไปใช้ฉ้อโกง อันเป็นการกระทำต่อเนื่องด้วยเจตนาเดียวเพื่อให้ ก.หลงเชื่อว่าจำเลยคือ ค. เจ้าของเช็คเดินทาง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ ก. เมื่อระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม 2530ถึงวันที่ 16 มกราคม 2531 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฎชัดจำเลยกับพวกที่ยังจับตัวไม่ได้ ได้บังอาจร่วมกันทำหนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) ซึ่งเป็นหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต)ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งออกให้กับนายโครีมัสสะ ทามุร โดยปลอมขึ้นแต่บางส่วน ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายโครีมัสสะ ทามูระ บริษัทอเมริกันเอ๊กซ์เพลส (ไทย) จำกัดและประชาชน จำเลยกับพวกได้ร่วมกันกระทำเพื่อให้นายเกษมสันต์เสนามนตรี และผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นหนังสือเดินทางที่แท้จริงของจำเลย
ข. ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ ก. จำเลยได้บังอาจปลอมเอกสารราชการขึ้นแต่บางส่วนอันเป็นเอกสารราชการที่เจ้าพนักงานรับรองในหน้าที่โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำท่าอากาศยานดอนเมืองกรมตำรวจและประชาชนอื่นได้จำเลยกับพวกได้ทำขึ้นเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใด และนายเกษมสันต์เสนามนตรี หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง
ค. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2531 เวลากลางวันจำเลยโดยทุจริตได้บังอาจหลอกลวงนายเกษมสันต์ เสนามนตรี ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงอันควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยได้ใช้หนังสือเดินทางที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันกระทำปลอมขึ้นในข้อ ก. พร้อมกับแสดงตัวว่าจำเลยคือนายโคริมัสสะ ทามูระ เพื่อให้นายเกษมสันต์ เสนามนตรีหลงเชื่อว่าจำเลยคือนายโครีมัสสะ ทามูระ และเป็นเจ้าของเช็คเดินทางอเมริกันเอ็กซ์เพรส ดังกล่าวจริง
ง. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2531 เวลากลางวันจำเลยได้บังอาจนำหนังสือเดินทางและเอกสารราชการที่จำเลยได้ทำปลอมขึ้นในข้อ ก. และ ข. ไปใช้แสดงต่อนายเกษมสันต์เสนามนตรี ดังกล่าวในข้อ ค. ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายเกษมสันต์ เสนามนตรี บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส(ไทย) จำกัดและประชาชนอื่นได้
จ. เมื่อระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม 2530 ถึงวันที่ 16 มกราคม2531 วันเวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติสิงคโปร์ ได้บังอาจเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยมิได้เข้ามาตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมืองที่กำหนด
ฉ. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2531 เวลากลางวันจำเลยซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติสิงคโปร์ ได้บังอาจอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83, 91, 264, 265, 268, 341, 342 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 62, 81
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานทำเอกสารปลอมและทำเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90กระทงหนึ่งและมีความผิดฐานทำเอกสารปลอมใช้เอกสารปลอมกับใช้เอกสารราชการปลอม และพยายามฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา264, 265, 268 วรรคสอง, 342(1), 80 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 กระทงหนึ่ง แต่การใช้เกิดจากการปลอมเอกสารในกระทงแรกด้วย คงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสองประกอบกับมาตรา 265 กระทงเดียว จำคุก 2 ปี กับมีความผิดฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้เข้าตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมืองและมีความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง มาตรา 11, 62, 81 อีกสองกระทง่แต่ละกระทงจำคุก 4 เดือน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 (ที่ถูกมาตรา 91) ที่แก้ไขแล้วรวมจำคุก 2 ปี 8 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 4 เดือน
โจทก์อุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์แต่ละข้อเป็นความผิดแต่ละกรรม ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องทุกกระทงความผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าความผิดฐานทำเอกสารปลอมทำเอกสารราชการปลอม และพยายามฉ้อโกง ตามฟ้องข้อ ก. ข. และ ค.เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษเป็น 3 กรรมนั้นเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ในข้อ ก. ข. และ ค. แม้โจทก์จะแยกฟ้องมาเป็น 3 ข้อ แต่ระบุวันเวลากระทำผิดว่า ระหว่างวันที่ 11กรกฎาคม 2530 ถึงวันที่ 16 มกราคม 2531 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฎชัดจำเลยได้กระทำผิดตามข้อ ก. และ ข. และวันที่ 16มกราคม 2531 เวลากลางวันจำเลยจึงนำเอกสารที่ทำปลอมขึ้นในข้อก. และ ข. ไปใช้แสดงพยายามฉ้อโกงตามข้อ ค. ทำให้เห็นได้ว่าจำเลยทำเอกสารปลอมตามฟ้องข้อ ก. ทำเอกสารราชการปลอมตามฟ้องข้อ ข. ก็เพื่อจะนำไปใช้ฉ้อโกงตามฟ้องข้อ ค. เป็นการกระทำต่อเนื่องด้วยเจตนาอย่างเดียวเพื่อให้นายเกษมสันต์ เสนามนตรี หลงเชื่อว่าจำเลยคือนายโครีมัสสะ ทามูระ ซึ่งเป็นเจ้าของเช็คเดินทางอเมริกันเอ็กซ์เพรส เพื่อยอมให้จำเลยแลกเช็คเดินทางไปตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมไม่”
พิพากษายืน

Share