คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3728/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โรคต้อตาไม่ถือว่าเป็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับตาที่มีอันตรายร้ายแรงถึงขนาดอนุมานได้ว่า ถ้า พ. ผู้เอาประกันชีวิตได้แจ้งเช่นนั้นแล้ว ผู้รับประกันชีวิตจะบอกปัดไม่รับประกันชีวิต หรือหากนายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพได้พบเห็นอาการโรคต้อตาแล้วจะเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้นแม้พ. ซึ่งได้เข้ารับการผ่าตัดต้อตาที่โรงพยาบาลมาแล้ว ได้แถลงข้อเท็จจริงต่อนายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพว่าไม่เคยมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ไม่เคยรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ในก็ไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ
พ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัท ม. มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าเคยได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อทำประกันชีวิตมาก่อน และบริษัท ม. ได้รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ.ไม่ปรากฏว่าถ้าพ. ได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัทม. แล้ว จำเลยจะไม่รับทำสัญญาประกันชีวิตกับ พ. อีก เหตุที่พ. ไม่แจ้งแก่นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบไม่ถือเป็นเหตุให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ
พ. เคยเข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะคนไข้ใน มีอาการเจ็บที่ชายโครงขวา แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า อาจเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งไม่อยู่ในรายการที่ต้องแถลงให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบ เมื่อนายแพทย์ผู้ตรวจรักษาและ พ. ต่างไม่ทราบว่าพ.ป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับมาก่อนจึงฟังไม่ได้ว่าพ. ไม่เปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับโรคมะเร็งในตับซึ่งตนได้รู้มาก่อนอันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จำเลยรับประกันชีวิต พ.จึงสมบูรณ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายพัชระ แซ่เจียม ได้ทำสัญญาประกันชีวิตแบบตลอดชีวิตเป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท ไว้กับจำเลย โจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิต ต่อมานายพัชระตายจำเลยไม่จ่ายเงินตามสัญญา ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 5,400บาท ขอให้จำเลยชำระเงิน 305,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปี
จำเลยให้การว่า นายพัชระแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าไม่เคยเป็นโรคไม่เคยทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบุคคลอื่น หลังจากนายพัชระถึงแก่กรรมแล้วจำเลยจึงทราบความจริงว่านายพัชระเคยรับการผ่าตัดต้อตา เคยปวดท้องบริเวณชายโครงขวาจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และพี่น้องของนายพัชระเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและโรคตับแข็งหากจำเลยทราบความจริงจะไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิต สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะและจำเลยได้บอกล้างแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 305,400 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปีของต้นเงิน 300,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2524 จนกว่าจำเลยจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 9กุมภาพันธ์ 2524 นายพัชระ แซ่เจียม ได้ขอเอาประกันชีวิตแบบตรวจสุขภาพกับจำเลย และได้ทำคำแถลงให้แก่นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพ ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2524 จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประกันชีวิตนายพัชระ แซ่เจียม ไว้มีกำหนด 50 ปี จำนวนเงิน 300,000 บาทโดยทำกรมธรรม์ประกันชีวิตตามเอกสารหมาย ป.ล.7 ต่อมาวันที่ 2กรกฎาคม 2524 นายพัชระ แซ่เจียม ถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็งในตับ ก่อนทำสัญญาประกันชีวิต เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2518 นายพัชระได้เข้ารับการผ่าตัดต้อตาที่โรงพยาบาลศิริราชและเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2524 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2524 นายพัชระได้เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพญาไท กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษาวินิจฉัยโรคว่า อาการปวดท้องแถวชายโครงขวาของนายพัชระอาจจะเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ที่จำเลยฎีกาว่า นายพัชระผู้เอาประกันชีวิตได้แถลงข้อเท็จจริงต่อนายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพว่า ไม่เคยเป็นโรค หรือเคยไปปรึกษาหรือรับการรักษาจากนายแพทย์เกี่ยวกับอาการหรือโรคเกี่ยวกับอวัยวะย่อยอาหาร อาหารไม่ย่อยบ่อยๆ เกี่ยวกับตับถุงน้ำดี ไม่เคยมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับตา ไม่เคยได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อทำประกันชีวิตไม่เคยรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะคนไข้ในระหว่าง 5 ปีที่ผ่านมา เป็นการปกปิดความจริง และแถลงข้อความเท็จอันเป็นสาระสำคัญในการทำสัญญาประกันชีวิตกรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นโมฆียะ จำเลยได้บอกล้างแล้ว กรมธรรม์ประกันชีวิตตกเป็นโมฆะนั้น นายพัชระเคยเป็นโรคต้อตาและได้รับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อปี 2518 และไม่ได้แจ้งให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบเพื่อขอทำสัญญาประกันชีวิตเห็นว่า โรคต้อตาไม่ถือว่าเป็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับตามที่มีอันตรายร้ายแรงถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่า ถ้านายพัชระได้แจ้งเช่นนั้นแล้วผู้รับประกันชีวิตจะบอกปัดไม่รับประกันชีวิต หรือในขณะที่นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพได้พบเห็นอาการโรคต้อตาอันจะเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้น มูลเหตุดังกล่าวไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด และนายพัชระได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด มาก่อนแล้ว แต่นายพัชระไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าได้เคยได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อทำประกันชีวิตมาก่อน เห็นว่าคำแถลงของผู้ขอเอาประกันภัยตามเอกสารหมาย ป.ล.10 ข้อ 5 ที่กำหนดให้แถลงเพื่อให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพตรวจหามูลฐานของโรคว่า สมควรจะรับประกันชีวิตหรือไม่และบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ก็ได้รับทำสัญญาประกันชีวิตกับนายพัชระ ไม่ปรากฏว่าถ้านายพัชระได้ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตแล้ว จำเลยจะไม่รับทำสัญญาประกันชีวิตกับนายพัชระอีกแต่อย่างใด เหตุที่นายพัชระไม่แจ้งแก่นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบว่าได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อทำประกันชีวิตมาก่อน ไม่ถือเป็นเหตุให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะอย่างใด และเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2524ถึงวันที่ 30 มกราคม 2524 นายพัชระได้เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพญาไทในฐานะคนไข้ในแต่ไม่แจ้งให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบในขณะขอเอาประกันชีวิต นายแพทย์ณรงค์ ไวยทยางกูรผู้ทำการตรวจรักษานายพัชระเบิกความว่า นายพัชระได้มาแจ้งว่ามีอาการเจ็บที่ชายโครงขวามาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ ครั้งแรกสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคถุงน้ำดีอักเสบ แต่ผลการเอกซเรย์พิเศษปรากฏว่า ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ไตและกระเพาะปกติดี จึงวินิจฉัยว่าอาจเป็นโรคกล้ามเนื้ออักเสบ นายแพทย์ศิโรจน์ บุนนาค พยานจำเลยว่า ได้ตรวจประวัติและการตรวจรักษานายพัชระ แพทย์ผู้ทำการตรวจรักษาวินิจฉัยสงสัยว่าอาจจะเป็นถุงน้ำดีอักเสบซึ่งขัดกับคำเบิกความของนายแพทย์ณรงค์ผู้ทำการตรวจรักษาและตามรายงานการเจ็บป่วยของนายพัชระที่นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์นายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไทส่งมาตามหนังสือที่พ.133/2524 ลงวันที่ 28 กันยายน 2524 และที่ พ.244/2525 ลงวันที่14 ธันวาคม 2525 นายแพทย์ณรงค์ผู้ทำการตรวจรักษานายพัชระวินิจฉัยว่า นายพัชระอาจจะเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ไม่พบสิ่งผิดปกติอวัยวะภายใน ไม่รู้ว่านายพัชระป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับนายพัชระย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับมาก่อนขอทำสัญญาประกันชีวิต จะรู้ได้แต่เพียงว่าตนเป็นโรคกล้ามเนื้ออักเสบและไม่อยู่ในรายการที่ต้องแถลงให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบตามเอกสารหมาย ป.ล.10 แต่อย่างใดฉะนั้นการที่นายพัชระไม่ได้แจ้งให้นายแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพขณะขอเอาประกันชีวิตทราบว่าได้เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลพญาไทในฐานะคนไข้ในมาก่อน เมื่อนายแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษาและนายพัชระต่างไม่ทราบว่านายพัชระป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับมาก่อนจึงฟังไม่ได้ว่านายพัชระไม่เปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับโรคมะเร็งในตับซึ่งตนได้รู้มาก่อนอันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตที่จำเลยรับประกันชีวิตนายพัชระ แซ่เจียม จึงสมบูรณ์ เมื่อนายพัชระถึงแก่ความตาย จำเลยจึงต้องจ่ายเงินจำนวน 300,000 บาท ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดสัญญาแก่โจทก์
พิพากษายืน.

Share