คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3724/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ค่านายหน้าที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างโจทก์จ่ายให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนนั้น แม้ว่าจะเป็นการจูงใจให้ขายสินค้าได้มากขึ้นแต่ขณะเดียวกันก็คือเงินที่จำเลยจ่ายให้เป็นการตอบแทนการทำงานตามผลงานที่โจทก์ทำได้โดยตรงนั่นเอง ส่วนที่จำเลยได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายอย่างไร รวมทั้งจะมีการเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ เมื่อวิธีการจ่ายค่านายหน้าอาจปรับได้กับความหมายของคำว่า”ค่าจ้าง”ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 จึงถือว่าค่านายหน้าเป็นค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมกับเงินเดือนครั้งสุดท้ายของโจทก์เพื่อเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงาน ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่หัวหน้าพนักงานขาย ได้รับเงินเดือน 14,300 บาท ค่าพาหนะเดือนละ7,000 บาท และค่านายหน้าจากการขายร้อยละ 0.6 ของยอดขายสินค้าแต่ละเดือน กำหนดจ่ายเงินเดือนและค่านายหน้าทุกวันที่ 25 ของเดือนก่อนโจทก์ถูกเลิกจ้างในระยะ 6 เดือน โจทก์ได้ค่านายหน้าจากการขายจำนวน 138,709 บาท ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2535 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า อ้างว่าจะมีการปรับโครงสร้างการบริหารงานใหม่ซึ่งไม่เป็นความจริง โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 6 เดือนสุดท้าย เป็นเงิน 266,709 บาท จำเลยจ่ายให้เพียง 85,800 บาท ยังขาดอีก 180,709 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 77,000 บาท ค่านายหน้าจากการขายจำนวน 52,676 บาท และดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าชดเชย 180,709 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 11,544 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับเงินเดือน 14,300 บาท ส่วนเงินบำเหน็จพิเศษจากการขายนั้น จำเลยตกลงจะจ่ายให้ต่อเมื่อขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 600,000 บาท หากขายไม่ได้ตามเป้าหมายจำเลยก็ไม่ต้องจ่าย โจทก์ได้กระทำผิดอย่างร้ายแรงโดยโจทก์กล่าวดูหมิ่นผู้จัดการฝ่ายการตลาดซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของโจทก์ต่อหน้าพนักงานอื่น จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ส่วนเงินค่าบำเหน็จพิเศษจากการขายจำนวน 52,676 บาทนั้น ขณะที่โจทก์ฟ้อง จำเลยยังเรียกเก็บจากลูกค้าไม่ได้ โจทก์ยังไม่มีสิทธิได้เงินค่าบำเหน็จพิเศษดังกล่าว ขณะเลิกจ้างโจทก์ทำงานได้ 5 เดือน สิทธิการหยุดพักผ่อนประจำปีมีเพียง 4.15 วัน โจทก์ใช้สิทธิหยุดไป 2 วันโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเพียง 1,166.60 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเวลา46 วัน และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นเวลา 4.16 วันปัญหาเกี่ยวกับค่าจ้างอัตราสุดท้ายของโจทก์ว่าจะเป็นจำนวนเท่าใดนั้นได้ความว่าโจทก์รับเงินเดือนครั้งสุดท้ายเดือนละ 14,300 บาทกับได้ค่านายหน้าขายสินค้าในรอบเดือนสุดท้ายก่อนโจทก์ออกจากงานเป็นเงินจำนวน 21,992.97 บาท ซึ่งถือเป็นค่าจ้างเช่นกันเพราะเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้เพื่อตอบแทนการทำงาน รวมแล้วโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงิน 36,292.97 บาท และนำไปเป็นฐานคำนวณในการจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี สำหรับค่าชดเชยนั้น คำนวณแล้วเป็นเงิน217,757.82 บาท จำเลยจ่ายให้เพียง 85,800 บาท ยังคงขาดอยู่อีก131,957.82 บาท พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 55,649.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จ่ายค่าชดเชยจำนวน 131,957.82บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 2,613.09 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเพียงข้อเดียวตามที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ในการจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์นั้น จะต้องนำค่านายหน้ามารวมกับเงินเดือนเพื่อเป็นฐานในการคำนวณหรือไม่ ปัญหาที่โต้เถียงกันคงมีว่าค่านายหน้าที่จ่ายให้กันในคดีนี้เป็นค่าจ้างหรือไม่ ข้อนี้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 ให้ความหมายของคำว่าค่าจ้างไว้ว่า “หมายความว่า เงิน หรือเงินและสิ่งของที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ และหมายความรวมถึงเงิน หรือเงินและสิ่งของที่จ่ายให้ในวันหยุดซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงาน และในวันลาด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณหรือจ่ายเป็นการตอบแทนในวิธีอย่างไรและไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร”ที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ว่า จำเลยได้วางหลักเกณฑ์การจ่ายค่านายหน้าไว้ว่าพนักงานจะต้องขายสินค้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือขั้นต่ำต้องขายสินค้าได้ตั้งแต่เดือนละ 450,000 บาทขึ้นไปจำเลยจึงจะจ่ายค่านายหน้าให้และหากลูกค้าชำระราคาสินค้าเกินกำหนดที่ตกลงกันไว้ ก็จะลดค่านายหน้าลงตามส่วนไปจนกระทั่งไม่ต้องจ่ายเลยรายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7 ความประสงค์ในการจ่ายค่านายหน้าก็เพื่อให้เป็นเงินบำเหน็จพิเศษในการจูงใจให้พนักงานมีความขยันขายสินค้าได้มากขึ้น มิใช่เป็นการจ่ายค่าตอบแทนการทำงาน จึงไม่ถือว่าเป็นค่าจ้างนั้น เห็นว่า ค่านายหน้าที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนนั้น แม้ว่าจะเป็นการจูงใจให้ขายสินค้าได้มากขึ้นก็ตามแต่ขณะเดียวกันก็คือเงินที่จำเลยจ่ายให้เป็นการตอบแทนการทำงานตามผลงานที่โจทก์ทำได้โดยตรงนั่นเอง ส่วนที่จำเลยได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายอย่างไร รวมทั้งจะมีการเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ เมื่อวิธีการจ่ายค่านายหน้าอาจปรับได้กับความหมายของคำว่า “ค่าจ้าง” ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานดังกล่าวมาข้างต้น จึงถือว่าค่านายหน้าเป็นค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมกับเงินเดือนครั้งสุดท้ายของโจทก์เพื่อเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีดังที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share