คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3724/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินที่จำเลยเพียงแต่อนุญาตให้โจทก์อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว จึงมิใช่กรณีสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตอันเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนและต้องใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างโรงเรือนนั้น แต่เป็นกรณีที่โรงเรือนนั้นไม่ตกเป็นส่วนควบกับที่ดินของจำเลยโดยยังเป็นของโจทก์อยู่ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงาจำเลยทั้งสองชวนโจทก์ไปปลูกโรงเรือนอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวโดยจำเลยทั้งสองตกลงจะมอบที่ดินที่โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 9 เมตร ให้ตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนแต่ยังไม่ทันเสร็จจำเลยทั้งสองให้โจทก์ระงับการก่อสร้างและให้รื้อถอนไป ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยสุจริต ทำให้ที่ดินของจำเลยทั้งสองมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเท่ากับราคาค่าก่อสร้างขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินค่าที่ดินของจำเลยทั้งสองที่เพิ่มขึ้นเป็นเงิน 28,073 บาท
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ราคาที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะโจทก์สร้างโรงเรือนในที่ดินของจำเลยนั้น มีราคาไม่ถึง 28,073 บาท หากขายก็ได้ราคาเพียงเล็กน้อย โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนอยู่อาศัยในที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยไม่สุจริตจำเลยทั้งสองไม่เคยบอกให้ที่ดินแก่โจทก์ ไม่เคยห้ามหรือให้โจทก์รื้อถอนโรงเรือนออกไป ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 28,073 บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองอนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นการให้อาศัยอยู่ชั่วคราวการที่โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองเพียงแต่อนุญาตให้โจทก์อยู่อาศัยในที่ดินนั้นเป็นการชั่วคราว จึงมิใช่กรณีสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตอันเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนและต้องใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างโรงเรือนนั้นดังที่โจทก์ฎีกาหากแต่เป็นกรณีที่โรงเรือนนั้นไม่ตกเป็นส่วนควบกับที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยยังคงเป็นของโจทก์อยู่ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109”
พิพากษายืน

Share