แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวโดยเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 หาใช่สินสมรสไม่เมื่อใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่แล้วย่อมเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีอำนาจจำหน่ายได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และมิใช่ทรัพย์สินที่โจทก์จะมีส่วนแบ่งเมื่อหย่ากัน ฉะนั้นแม้ในการที่จำเลยที่ 1ทำสัญญาขายที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าวจำเลยที่ 1 แจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า จำเลยที่ 1 เป็นหม้ายโดยการตายของสามี ยังไม่ได้ทำการสมรสใหม่ และจำเลยที่ 2 รับรองการเป็นหม้ายของจำเลยที่ 1 ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกไว้ก็ตาม หากข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จโจทก์ก็มิใช่ผู้เสียหายอันจะฟ้องจำเลยฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากัน โจทก์ได้ฟ้องขอหย่าต่อศาลแพ่ง ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำความเท็จไปแจ้งต่อนายวุฒิสิทธิ์เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งมีหน้าที่จดทะเบียนนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ให้จดแจ้งลงในหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินโฉนดที่ ๒๐๒๓๕ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โอนขายให้แก่จำเลยที่ ๒ อันเป็นหนังสือราชการว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหม้ายโดยการตายของสามี คือโจทก์ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินและจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับรอง นายวุฒิสิทธิ์หลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงจดข้อความดังกล่าวลงในหนังสือสัญญาขายที่ดิน ซึ่งเป็นหนังสือราชการ อันมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน แล้วได้ทำนิติกรรมสัญญาโอนที่ดินแก่จำเลยที่ ๒ ในวันเดียวกัน ความจริงโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหาย เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ได้ระบุขอแบ่งไว้ในฟ้องขอหย่าด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล มีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๗ ลงโทษจำคุก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินโฉนดพิพาทตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ ก่อนโจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ ๑ ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียว โดยเป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ หาใช่สินสมรสไม่ เมื่อใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระแล้วย่อมเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ อันจำเลยที่ ๑ มีอำนาจจำหน่ายได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และมิใช่ทรัพย์สินที่โจทก์จะมีส่วนแบ่งเมื่อหย่ากันฉะนั้นแม้ในการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าว จำเลยที่ ๑ แจ้งแก่นายวุฒิสิทธิ์เจ้าพนักงานที่ดินว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหม้ายโดยการตายของสามี ยังไม่ได้ทำการสมรสใหม่ และจำเลยที่ ๒ รับรองการเป็นหม้ายของจำเลยที่ ๑ ให้นายวุฒิสิทธิ์บันทึกไว้ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินก็ตามหากข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จ โจทก์ก็มิใช่ผู้เสียหายอันจะฟ้องจำเลยฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗ ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน