แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การซื้อขายเรือนแม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนก็ดีแต่ตามพฤติการณ์ที่ตกลงให้ชำระราคากันในภายหลังต่อมาถือได้ว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อได้ชำระหนี้บางส่วนและต่อมาก็ได้ชำระเสร็จสิ้นแล้วเช่นนี้ก็ย่อมฟ้องร้องบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตกลงขอซื้อเรือนปั้นหยาสองชั้นสองห้องหลังหนึ่งจากโจทก์เป็นเงิน 2,800 บาทโดยจะนำเงินมาชำระให้เสร็จในเดือน 12 ปี พ.ศ. 2496 โจทก์มอบเรือนให้จำเลยอยู่อาศัยมาจนทุกวันนี้ ครั้นครบกำหนดตามที่ตกลงกันไว้จำเลยหาได้นำเงินไปชำระให้โจทก์ไม่ โจทก์เตือนให้ชำระจำเลยกลับปฏิเสธและอ้างว่าได้ชำระให้โจทก์หมดแล้วซึ่งไม่เป็นความจริง จึงถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ไม่ประสงค์ขายเรือนรายนี้ให้จำเลย ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากเรือนหลายครั้งแล้วจำเลยไม่ยอมออกจึงขอให้ขับไล่
จำเลย (เป็นสามีภรรยากัน) ให้การและฟ้องแย้งว่าได้ซื้อเรือนจากโจทก์ราคา 2,800 บาทโดยมิได้ทำหนังสือต่อกัน ต่อมาจำเลยชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้นโดยไม่มีหลักฐานเช่นเดียวกัน โจทก์มอบเรือนให้จำเลยครอบครอง เนื่องจากเรือนชำรุดทรุดโทรมมากจำเลยทำการซ่อมและเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเป็นเงิน 5,289 บาท 90 สตางค์ จำเลยได้เข้าครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์เพราะได้ชำระราคาค่าเรือนหมดแล้วโจทก์ไม่มีความชอบธรรมจะมาฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งว่าหากว่าการซื้อขายทำไม่ถูกต้อง ต่างฝ่ายต้องคืนสู่ฐานะเดิมก็ให้โจทก์คืนค่าเรือนและค่าซ่อมแซมให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับที่กล่าวในฟ้องเดิมและว่าการที่จำเลยซ่อมเรือนพิพาทเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องรับผิดชอบเอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์แต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาตรวจปรึกษาแล้วเห็นว่าการซื้อขายเรือนรายนี้แม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนก็ดี แต่ตามพฤติการณ์ที่ตกลงให้ชำระราคากันในภายหลังต่อมาถือได้ว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายเมื่อได้ชำระหนี้บางส่วนและต่อมาก็ได้ชำระเสร็จสิ้นแล้วเช่นนี้ ก็ย่อมฟ้องร้องบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะมาฟ้องขับไล่จำเลยส่วนในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นว่าพยานจำเลยมีน้ำหนักและเหตุผลดีกว่าศาลทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว จึงพิพากษายืน