คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาค้ำประกันมีใจความสำคัญว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ฉ้อโกงโจทก์จริงและยอมใช้เงินให้โจทก์ จำเลยที่ 2
มารดาจำเลยที่ 1 ยอมค้ำประกันเมื่อจำเลยที่ 1 บิดพลิ้ว ยินดีรับใช้แทนจนครบ โจทก์ผู้กล่าวหายินดีและตกลง ดังนี้
แม้จะมิได้มีข้อความแจ้งชัดว่าจะไม่ฟ้องในทางอาญา าก็เป็นที่เข้าใจกันตามปกติว่า การที่จำเลยที่ 2 เข้าค้ำประกัน
รับใช้เงินแทนจำเลยที่ 1 ผู้เป็นบุตรก็ประสงค์ให้โจทก์งดเว้น ไม่ฟ้องบุตรจำเลยที่ 2 ทางอาญา ฉะนั้นแม้จำเลยจะผิดนัด ไม่ใช้หนี้ตามกำหนดในสัญญา ก็ไม่ทำให้โจทก์เกิดสิทธิฟ้องทางอาญาได้เมื่อโจทก์ร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในทางอาญา จึงไม่เป็นไปตามความประสงค์อันแท้จริงของสัญญาที่จำเลยที่ 2 ทำให้ไว้ จำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความผิด./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับเงินไปจากโจทก์ ๒ คราว รวม ๒๕๐๐๐ บาท โดยจะนำไปเสียภาษีและค่าใบอนุญาตนำข้าวออกนอกประเทศ ครั้นครบกำหนดนายเดวิดผิดนัดและไม่คืนเงินให้ โจทก็จึงร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจ นางฟาดซิสจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นมารดาจำเลยที่ ๑ ได้เข้าค้ำประกันใช้หนี้ให้โจทก์ ๒๐๐๐๐ บาท ตามสำเนาบันทึกตกลงประนีประนอมและค้ำประกันท้ายฟ้อง แล้วจำเลยผิดนัด โจทก์ได้มีหนังสือบอกล่าวทวงถามแล้ว จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืน ๒๐๐๐๐ บาทกับดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ต่อสู่คดีหลายประการและอ้างว่า โจทก์ว่าจะไม่ฟ้องคดีอาญา แต่โจทก์ได้เป็นโจทก์ร่วมกับอัยการฟ้องจำเลยที่ ๑ ในคดีอาญา ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ถือได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา สัญญาจังเป็นอันยกเลิก
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๒๐๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ย ถ้าไม่ใช้ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้แทน
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว สัญญาค้ำประกันมีใจความว่า จำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าได้ฉ้อโกงโจทก์ไปจริง และยอมรับใช้ให้โจทก์ผู้กล่าวหา ยินดีและตกลงกับจำเลยที่ ๒ มารดาจำเลยที่ ๑ ยอมค้ำประกันเมื่อจำเลยที่ ๑ บิดพลิ้ว ยินดีใช้แทนจนครบ.
ข้อความในสัญญานี้ แม้จะมิได้มีข้อความแจ้งชัดว่า จะไม่ฟ้องทางอาญา แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันตามปกติว่า การที่จำเลยที่เข้าค้ำประกันรับใช้เงินแทนจำเลยที่ ๑ ก็ประสงค์จะมิให้บุตรต้องถูกฟ้องในทางอาญา และการที่จำเลยผิดนัดไม่ใช้หนี้ตามกำหนดในสัญญา ก็ไม่ทำให้โจทก์เกิดสิทธิฟ้องร้องในทางอาญาได้ ฉะนั้นการที่โจทก์ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยที่ ๑ ในทางอาญาจึงผิดความประสงค์อันแท้จริงของสัญญาที่จำเลยที่ ๒ทำให้ไว้ จำเลยที่ ๒ ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด.
จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒./

Share