แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทนายโจทก์เบิกความยืนยันว่า ว.กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ลงชื่อในใบแต่งทนายความตั้งแต่ทนายโจทก์ และ ส. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโจทก์และได้ติดต่อการงานกับ ว. ยืนยันลายมือชื่อของ ว. เช่นนี้รับฟังได้ว่า ว. ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ตั้งแต่งทนายความโดยชอบโดยโจทก์ไม่จำต้องนำ ว.มาเบิกความยืนยันในเรื่องนี้อีก ทนายความผู้ได้รับตั้งแต่งย่อมมีอำนาจเรียกคำฟ้องและลงชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 เมื่อโจทก์ได้ยื่นใบแต่งทนายความต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 แล้ว โจทก์ก็ไม่จำต้องระบุอ้างใบแต่งทนายความในบัญชีระบุพยานอีก
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยไม่ได้กำหนดข้อต่อสู้ของจำเลยเรื่องอำนาจการบอกกล่าวบังคับจำนองไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท จำเลยมิได้โต้แย้งไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว จึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องจริง แต่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ดังที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงินฉะนั้น เอกสารซึ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินจึงไม่จำเป็นแก่คดีที่จะต้องอ้างมาเป็นพยานหลักฐานอีก ตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจะปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ฟังได้เป็นยุติแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองนำตั๋วสัญญาใช้เงินรวม ๒๕ ฉบับมาขายลดให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ นำที่ดินมีโฉนดมาจำนองประกันหนี้ ครั้นถึงกำหนดชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วจำเลยก็ยังเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยและหากจำเลยไม่ชำระ ขอบังคับจำนอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ไม่ได้แต่งตั้งให้นายบำรุง แจ้งบังคับจำนองและเป็นทนายความเรียงคำฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้บังคับจำนองตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า นายบำรุง ดิษพันธุ์ เป็นผู้มีอำนาจเรียงคำฟ้องและลงชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์ได้หรือไม่ ข้อนี้โจทก์นำสืบว่า นายวิระ รมยะรูป กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.๑ ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์แต่งตั้งให้นายบำรุง ดิษพันธุ์ เป็นทนายความของโจทก์ในคดีนี้ โจทก์มีนายบำรุง ดิษพันธุ์ มาเป็นพยานเบิกความยืนยันว่านายวิระ รมยะรูป เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ลงชื่อในใบแต่งทนายความตั้งแต่งให้พยานเป็นทนายความฟ้องคดีนี้ปรากฏตามใบแต่งทนายความ ( ลงวันที่ ๒๒ พฤษจิกายน ๒๕๒๖ ) ที่รวมอยู่ในสำนวน และนายสมชัย โภควนิช พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาศรีสะเกษ เบิกความสนับสนุนว่า ลายมือชื่อและตราประทับในช่องผู้แต่งทนายความของโจทก์นั้น เป็นลายมือชื่อของนายวิระ รมยะรูป และตราของโจทก์ เห็นว่านายสมชัย โภควนิช เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโจทก์ได้ติดต่อการงานกับนายวิระซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของโจทก์ย่อมเคยเห็นลายมือชื่อของนายวิระ ดังนั้น ที่นายสมชัยยืนยันว่าเคยเห็นและจำลายมือชื่อของนายวิระได้นั้นจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือรับฟังได้ โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องนำนายวิระมาเบิกความยืนยันในเรื่องนี้อีก จำเลยไม่มีพยานมาสืบหักบ้างพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าว ฟังได้ว่าโจทก์โดยนายวิระ รมยะรูป ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ดังกล่าว ฟังได้ว่าโจทก์ โดยนายวิระ รมยะรูป ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ตั้งแต่งนายบำรุง ดิษพันธุ์ เป็นทนายความของโจทก์ในคดีนี้โดยชอบ เช่นนี้ นายบำรุง ดิษพันธุ์ ย่อมมีอำนาจเรียงคำฟ้องและลงชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๒ สำหรับข้อที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ระบุอ้างใบแต่งทนายความในบัญชีระบุพยานจึงรับฟังใบแต่งทนายความไม่ได้นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ตั้งแต่งนายบำรุง ดิษพันธุ์ เป็นทนายความดังที่ได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น และโจทก์ไม่ยื่นใบแต่งทนายความต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๑ แล้วเช่นนี้ โจทก์ไม่จำต้องระบุอ้างใบแต่งทนายความในบัญชีระบุพยานอีก
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อหนึ่งว่า เรื่องอำนาจการบอกกล่าวแจ้งบังคับจำนองนั้น จำเลยทั้งสองได้ต่อสู้โต้แย้งในคำให้การแล้ว แม้ว่าศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดประเด็นไว้แจ้งชัดก็ตาม แต่เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒๘ และการบอกกล่าวบังคับจำนอง ผู้รับจำนองเป็นผู้มีอำนาจบอกกล่าว หากให้ผู้อื่นบอกกล่าวบังคับจำนองแทน ก็ต้องทำเป็นหนังสือตามหลักกฎหมายเรื่องตัวแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๙๘ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบเรื่องนี้ซึ่งเป็นข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จำเลยทั้งสองจะได้ให้การเกี่ยวกับปัญหานี้ว่า กรรมการผู้มีอำนาจ ของโจทก์มิได้แต่งตั้งให้นายบำรุง ดิษพันธุ์ แจ้งบังคับจำนองก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานไม่ได้กำหนดไว้เป็นประเด็นพิพาท จำเลยทั้งสองก็มิได้โต้แย้งไว้แต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว จึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และปัญหาดังกล่าวมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว โจทก์จึงมีความจำเป็นต้องนำสืบและอ้างส่งตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นพยานหลักฐานต่อศาลให้สมคำฟ้องให้ครบองค์ฟ้อง เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินปิดอากรไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย ( ขณะอ้างส่งศาล ) จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ จึงเท่ากับไม่มีตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน ๒๕ ฉบับดังกล่าว ( คือเอกสารหมาย จ.๔ ถึง จ.๒๘ ) ในสำนวน โจทก์จึงไม่มีหลักฐานแห่งหนี้ให้ปรากฏต่อศาล จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในปัญหาตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องโจทก์ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนตามกฎหมายรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้นจึงเป็นการไม่ชอบ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ๒๔ ฉบับ ( ตามเอกสารหมายเลข จ.๔ ถึง จ.๒๘ ) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองก็ให้การรับว่าหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องจริง ดังนี้ เมื่อจำเลยทั้งสองยอมรับแล้วว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ดังที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจริง ฉะนั้น เอกสารซึ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินจึงไม่จำเป็นแก่คดีที่จะต้องอ้างมาเป็นพยานหลักฐานอีก เพราะข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ตามฟ้องโจทก์ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ให้การยอมรับแล้ว ดังนั้น ตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจะปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ฟังได้เป็นยุติแล้ว
พิพากษายืน