แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนเอกสารท้ายฟ้องจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างต่อเติมตึกแถวตามฟ้องโดยแนบเอกสาร การว่าจ้างมีลายมือชื่อผู้สั่งจ้างมาท้ายฟ้อง ดังนั้นกรรมการบริษัทจำเลยซึ่งมีอำนาจว่าจ้างโจทก์แทนจำเลยจะเป็นใครก็ต้องเป็นไปตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนซึ่งอาจจะมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้เป็นกรรมการภายหลังได้ จึงเป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณาได้ว่า ในขณะจำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ผู้ใดเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่าบริษัทจำเลยมี ป. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทน จำเลยไม่เคยตกลงว่าจ้างโจทก์ต่อเติมตึกแถวตามฟ้องเห็นได้ว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ท.กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ต่อเติมตึกแถวของจำเลย ท.ได้ลงชื่อสั่งจ้างในเอกสารหมาย จ.7โดยมีวงเล็บชื่อของบริษัทจำเลยไว้ใต้ลายมือชื่อของตน แม้จะลงชื่อโดยมิได้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยตามข้อบังคับที่จดทะเบียนไว้ซึ่งอาจไม่สมบูรณ์ในฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทจำเลย แต่จำเลยได้รับเอาผลงานที่โจทก์ได้ทำตามสัญญาดังกล่าวทั้งหมดและได้ขายตึกแถวไปแล้ว ถือได้ว่า ท. ทำสัญญาว่าจ้างในฐานะเป็นตัวแทนของบริษัทจำเลย มิใช่ ท.ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เป็นส่วนตัว สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันจำเลยซึ่งเป็นตัวการ แม้ ท. จะออกเช็คส่วนตัวชำระค่าก่อสร้างบางส่วนแก่โจทก์ก็ตาม ก็เป็นเรื่องของ ท. กับจำเลยไม่เกี่ยวกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก สัญญาว่าจ้างต่อเติมตึกแถวเป็นสัญญาจ้างทำของ ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้นในขณะฟ้องคดีโจทก์จึงไม่จำเป็นต้องอ้างอิงเอกสารแสดงการว่าจ้างเป็นหลักฐานแห่งคำฟ้อง เมื่อเอกสารนี้ได้มีการปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว ก็สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างต่อเติมอาคารด้านหลังตึกแถวแล้วค้างชำระ ขอให้จำเลยชำระเงิน 114,297.50 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ จำเลยไม่เคยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างต่อเติมอาคารด้านหลังตึกแถวตามฟ้องจำเลยเพิ่งเป็นเจ้าของอาคารตึกแถวดังกล่าวหลังจากที่ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างกันในคดีนี้แล้ว หนังสือสัญญาจ้างก่อสร้างไม่ได้ประทับตราบริษัทจำเลย จึงไม่ผูกพันจำเลย เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2528 ที่สั่งจ่ายค่าก่อสร้างแก่โจทก์เป็นเงิน 75,000 บาท เป็นเช็คส่วนตัวของนายทวีชัย ผดุงปรีชาไชยไม่ใช่เช็คของจำเลย จึงไม่ผูกพันบริษัทจำเลย โจทก์ไม่ได้บอกกล่าวทวงถามก่อนฟ้อง สำเนาภาพถ่ายเอกสารแสดงการว่าจ้างท้ายฟ้องไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ใช้ฟ้องบังคับคดีไม่ได้ โจทก์ทำงานไม่เสร็จตามสัญญาได้ละทิ้งงานไป บังคับตามสัญญาไม่ได้ โจทก์คิดดอกเบี้ยเอากับจำเลยไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 104,800 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (19 มิถุนายน 2530) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างต่อเติมตึกแถวตามฟ้อง โดยแนบเอกสารแสดงการว่าจ้างมีลายมือชื่อผู้สั่งจ้างมาท้ายฟ้อง ดังนั้นกรรมการบริษัทจำเลยซึ่งมีอำนาจว่าจ้างโจทก์แทนจำเลยจะเป็นใครก็ต้องเป็นไปตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนซึ่งอาจจะมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้เป็นกรรมการในภายหลังได้จึงเป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาว่า ในขณะจำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ ผู้ใดเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลยจำเลยให้การต่อสู้ว่า บริษัทจำเลยมีนางเปรมวดีเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทน จำเลยไม่เคยว่าจ้างโจทก์ต่อเติมตึกแถวตามฟ้องเห็นได้ว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใด ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม และวินิจฉัยว่า การที่นายทวีชัยกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ต่อเติมตึกแถวของจำเลยจริง นายทวีชัยได้ลงชื่อสั่งจ้างในเอกสารหมาย จ.7โดยมีวงเล็บไว้ใต้ลายมือชื่อของตนว่าบริษัทไทยเจริญฟอกย้อมพิมพ์ผ้า (ชื่อบริษัทจำเลย) แม้จะลงชื่อโดยมิได้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยตามข้อบังคับที่จดทะเบียนไว้ซึ่งอาจไม่สมบูรณ์ในฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทจำเลย แต่จำเลยได้รับเอาผลงานที่โจทก์ได้ทำตามสัญญาดังกล่าวไว้ทั้งหมด และได้ขายตึกแถวไปแล้วถือได้ว่านายทวีชัยทำสัญญาว่าจ้างในฐานะเป็นตัวแทนของบริษัทจำเลย มิใช่นายทวีชัยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เป็นส่วนตัวสัญญาว่าจ้างต่อเติมตึกแถวตามเอกสารหมาย จ.7 จึงมีผลผูกพันจำเลยซึ่งเป็นตัวการ ดังนั้นแม้นายทวีชัยจะออกเช็คส่วนตัวชำระค่าก่อสร้างบางส่วนแก่โจทก์ดังข้ออ้างของจำเลยก็ตาม ก็เป็นเรื่องของนายทวีชัยกับจำเลยไม่เกี่ยวกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและวินิจฉัยว่า สัญญาว่าจ้างต่อเติมตึกแถวเป็นสัญญาจ้างทำของไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือดังนั้นในขณะฟ้องคดีโจทก์จึงไม่จำเป็นต้องอ้างอิงเอกสารแสดงการว่าจ้างเป็นหลักฐานแห่งคำฟ้อง และเมื่อเอกสารนี้ได้มีการปิดผิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว ก็สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118และวินิจฉัยว่าโจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องค่าก่อสร้างส่วนที่แล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2525 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อปี 2530 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ 2 ปี ดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน