คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3692/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินที่โจทก์วางไว้เป็นประกันจนกว่าโจทก์จะซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องให้จำเลยใหม่ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของโจทก์กล่าวว่า ถ้ามีการพิจารณาคดีใหม่โจทก์มีทางชนะคดี เนื่องจากเงินที่โจทก์วางไว้แก่จำเลยนั้น เป็นเงินประกันในการที่โจทก์นำชิ้นส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์กลับไปซ่อม เมื่อโจทก์ซ่อมและนำมาติดตั้งให้จำเลยใหม่แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิรับเงินคืน จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงเงินจำนวนนี้ พอสรุปได้ว่ากล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้องเป็นการครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1672/2512)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อเครื่องมือสเปคโตโฟมิเตอร์ และรับเครื่องมือดังกล่าวไปแล้ว ต่อมาจำเลยแจ้งต่อโจทก์ว่าเครื่องมือดังกล่าวทำงานบกพร่อง ขอให้โจทก์จัดการซ่อมโจทก์จึงรับเครื่องมือดังกล่าวในส่วนที่บกพร่องไปซ่อม โจทก์ได้วางเงินค้ำประกันไว้ด้วย ต่อมาโจทก์ส่งมอบเครื่องมือที่นำไปซ่อมและติดตั้งให้จำเลยเรียบร้อยและขอรับเงินค้ำประกันคืน จำเลยไม่ยอมคืนให้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์รับเครื่องสเปคโตรโฟโตมิเตอร์กลับไปซ่อมแซมโดยมีเงื่อนไขให้โจทก์วางเงินไว้เป็นประกัน ต่อมาเมื่อโจทก์จัดการซ่อมแซมเครื่องมือดังกล่าวแล้วได้นำมาคืนให้จำเลย ปรากฏว่ายังใช้การไม่ได้ จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงเงินจำนวนนี้

ศาลชั้นต้นกำหนดหน้าที่ให้จำเลยนำสืบก่อน ครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยโจทก์ขาดนัดพิจารณา จำเลยขอให้ดำเนินคดีต่อไป ศาลจึงสืบพยานจำเลยไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดพิจารณา

จำเลยคัดค้าน

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์มิได้ยกข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินที่โจทก์วางไว้เป็นประกัน จนกว่าโจทก์จะซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องให้จำเลยใหม่ และพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องมีข้อความตอนหนึ่งว่า ถ้ามีการพิจารณาคดีใหม่โจทก์มีทางชนะคดี เนื่องจากเงินที่โจทก์วางไว้แก่จำเลยนั้น เป็นเงินประกันในการที่โจทก์นำชิ้นส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์กลับไปซ่อม เมื่อโจทก์ซ่อมและนำมาติดตั้งให้จำเลยใหม่แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิรับเงินคืน จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงเงินจำนวนนี้ไว้

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำร้องของโจทก์ดังกล่าวสรุปได้ว่าคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากจำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงเงินของโจทก์ไว้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และข้อความที่ว่าหากมีการพิจารณาคดีใหม่แล้วโจทก์มีทางชนะคดีหมายความว่าศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว กล่าวคือที่ศาลพิพากษาไปแล้วนั้นพิพากษาให้โจทก์แพ้ ถ้ามีการพิจารณาคดีใหม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคำร้องของโจทก์จึงถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 และตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1672/2512 ระหว่างนายจรินทร์ ผ่องสวัสดิ์ โจทก์ นายอดุลย์ ซาลวาลา จำเลยคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share