คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3690/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวอันเป็นการกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวได้แม้ที่ดินดังกล่าวจะได้ขายทอดตลาดไปแล้ว เพราะเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิจะบังคับยึดที่ดินอันเป็นการกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องดังกล่าว การซื้อขายอันเป็นผลมาจากการยึดที่ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวย่อมไม่ชอบด้วยเช่นกันแม้ผู้ร้องจะมิได้คัดค้านว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบอย่างไร แต่ในคำร้องของผู้ร้องพอแปลความได้ว่าการยึดที่ดินและการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวไม่ชอบเพราะผู้ร้องมีสิทธิดีกว่าและขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงย่อมมีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18476 ถึง 18479 และ 18496 ถึง 18500 ของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา และโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 18496 ถึง 18500 ได้จากการขายทอดตลาด สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่18476 ถึง 18479 อยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาด

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดดังกล่าว ศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่ผู้ร้อง ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 18496 ถึง 18500 และการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18476 ถึง 18479

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์พิพาทของจำเลยทั้งสองโดยสุจริต และโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 18496 ถึง 18500ได้จากการขายทอดตลาดโดยสุจริตและได้ชำระราคาแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิรับโอนที่ดินดังกล่าว แม้ศาลจังหวัดมีนบุรีได้มีคำพิพากษาให้ถอนชื่อจำเลยที่ 2 ออกจากโฉนดที่ดินพิพาททั้ง 9 แปลง แต่โฉนดที่ดินดังกล่าวยังมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ การยึดทรัพย์ของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18476 ถึง 18479 และเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 18496 ถึง 18500

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องในส่วนที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 18496 ถึง 18500 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2532 ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1260, 18476 ถึง 18484 และ 18492 ถึง 18500 ตำบลกระทุ่มราย อำเภอหนองจอก กรุงเทพมหานคร รวม 19 แปลง ให้แก่ผู้ร้อง แต่ผู้ร้องไม่สามารถบังคับคดีได้เนื่องจากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้งดการบังคับคดีไว้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1711/2536 ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2540 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้เงินกู้แล้วตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2540 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18476 ถึง 18479 และ 18496 ถึง 18500 ตำบลกระทุ่มรายอำเภอหนองจอก กรุงเทพมหานคร รวม 9 แปลง ออกขายทอดตลาดและโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 18496 ถึง 18500 ได้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 18496 ถึง 18500 หรือไม่ เห็นว่าเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2532 ศาลจังหวัดมีนบุรีได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 18496 ถึง 18500 ให้แก่ผู้ร้อง และคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวอันเป็นการกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวได้แม้ที่ดินดังกล่าวจะได้ขายทอดตลาดไปแล้ว เพราะเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิจะบังคับคดียึดที่ดินอันเป็นการกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องดังกล่าว การซื้อขายอันเป็นผลมาจากการยึดที่ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวย่อมไม่ชอบด้วยเช่นกัน แม้ผู้ร้องจะมิได้คัดค้านว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบอย่างไร แต่ในคำร้องของผู้ร้องพอแปลความได้ว่าการยึดที่ดินและการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวไม่ชอบเพราะผู้ร้องมีสิทธิดีกว่าและขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงย่อมมีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share