คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา 318 นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา319 วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตามศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กหญิงศรันยา อายุ 13 ปีเศษ ไปเสียจากมารดาโดยเด็กหญิงศรันยาไม่เต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราและหน่วงเหนี่ยวกักขังเด็กหญิงศรันยา ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 310, 318, 91

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก จำคุก 3 ปี ยกข้อหาอื่น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิจารณาคดีอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2526 เวลา12 นาฬิกาเศษ ผู้เสียหายกับจำเลยได้นัดพบกันที่ชั้นล่างของโรงแรมอินทราแล้วพากันไปดูภาพยนตร์และรับประทานอาหาร จนกระทั่งเวลาประมาณ 23.00 นาฬิกา ผู้เสียหายกับจำเลยก็พากันไปนอนที่บ้านของจำเลย โดยจำเลยจัดให้ผู้เสียหายนอนที่เตียงนอนของจำเลย จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นเวลา 11 นาฬิกาเศษ บิดาบุญธรรมของผู้เสียหายพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปรับตัวผู้เสียหายพร้อมกับจับกุมจำเลยมาดำเนินคดี

พิเคราะห์แล้ว คงมีปัญหาในชั้นนี้ว่า จำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรกหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติมาตรา 318 จะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยไม่ได้ ซึ่งปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้ก็ตาม ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ และเห็นว่าตามกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษได้

การที่ผู้เสียหายกับำจเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสอง และพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายซึ่งศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยไว้แล้วด้วยว่า จำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา และจำเลยก็มิได้ฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่อีก แต่เห็นว่าเหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลง และตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่า จะไปบ้านจำเลย อยากเห็นขาอ่อนจำเลย เป็นการจูงใจจำเลยอยู่กรณีจึงสมควรให้ความกรุณาแก่จำเลย

พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share