คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำบังคับของศาลมีใจความสำคัญว่าจำเลยจะต้องจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินของจำเลยเพื่อให้โจทก์ใช้เป็นถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ได้ตลอดไป และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนในอนาคตแก่โจทก์เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายอิฐและสัมภาระออกไปจากถนนดังกล่าวนี้ ดังนี้ กองอิฐที่โจทก์ฟ้องจำเลยได้ใช้ในการก่อสร้างหมดแล้วภายใน 3 เดือนนับแต่วันฟ้องแล้วจำเลยได้สั่งอิฐมากองไว้อีก อิฐที่จำเลยสั่งมากองไว้คราวหลังนี้ แม้โจทก์มิได้ฟ้อง แต่ก็เห็นว่าเป็นพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำไปโดยเจตนาหลีกเลี่ยงที่จะไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล โดยทำให้โจทก์ไม่อาจใช้ถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ได้ตลอดไป ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังไม่ทำให้โจทก์ใช้ถนนได้ตลอดไปจำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์อยู่ตราบนั้น

ย่อยาว

กรณีเนื่องมาจากคดีถึงที่สุดชั้นศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินของจำเลย โฉนดเลขที่ ๑๖๖๔๔ และโฉนดเลขที่ ๔๙๗ เพื่อให้โจทก์ใช้เป็นถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ตลอดไป ให้จำเลยขนย้ายอิฐและสัมภาระออกไปจากที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เดือนละ ๓๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะได้ขนย้ายอิฐและสัมภาระออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๖๔๔ และโฉนดที่ ๔๙๗
จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลย จำเลยยื่นคำแถลงว่า จำเลยได้วางเงินค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายใช้แทนโจทก์ต่อกองหมาย ๑,๑๕๐ บาทสำหรับค่าเสียหายนั้น จำเลยได้แถลงต่อกองหมายว่าจำเลยกองอิฐและสัมภาระในที่พิพาทนับแต่วันฟ้องเพียงสามเดือนเท่านั้น ฝ่ายโจทก์ไม่มีหลักฐานอันใดที่จะทักท้วงว่า จำเลยกองอิฐและสัมภาระไว้เกินกว่าสามเดือน ขอให้ศาลนัดโจทก์จำเลยมาสอบถามและไต่สวน
โจทก์แถลงว่า ที่จำเลยแถลงนั้นไม่เป็นความจริง ความจริงกองอิฐและสัมภาระอื่น ๆ เป็นต้นว่า เศษไม้ต่าง ๆ จำเลยยังคงกองกีดขวางอยู่ในที่พิพาทจนถึงประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๑๐ จำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามคำพิพากษาเดือนละ ๓๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๑๐ จึงจะถูกต้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่า จำเลยได้เอาอิฐมากองไว้ในที่ดินพิพาทจนถึงกลางปี ๒๕๐๘ จึงได้ขนย้ายกองอิฐออกไปจนหมดแล้วจำเลยได้ปลูกเพิงคร่อมเต็มถนนลงตรงที่ที่กองอิฐอยู่ก่อน เพื่อให้คนงานรับจ้างดัดเหล็กเส้นของจำเลยอยู่อาศัยทำให้กีดขวางทางเดินไม่สามารถเข้าไปในบ้านและที่ดินของโจทก์และเพิงนี้เพิ่งรื้อถอนออกไปเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๑๐จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน ๒๕๑๐โจทก์จึงชอบที่จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ยังขาดอยู่ได้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำบังคับของศาลมีใจความสำคัญที่เป็นเหตุให้โต้แย้งกันขึ้นนี้คือ จำเลยจะต้องจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินของจำเลยเพื่อให้โจทก์ใช้เป็นถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ได้ตลอดไปและให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เดือนละ ๓๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายอิฐและสัมภาระออกไปจากถนนดังกล่าวนี้ ที่จำเลยนำสืบว่ากองอิฐที่โจทก์ฟ้องนี้ จำเลยได้ใช้ในการก่อสร้างหมดแล้วภายในสามเดือนนับแต่วันฟ้องแล้วจำเลยได้สั่งอิฐมากองไว้อีก อิฐที่จำเลยสั่งมากองไว้คราวหลังนี้ โจทก์มิได้ฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำไปโดยเจตนาหลีกเลี่ยงที่จะไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล โดยทำให้โจทก์ไม่อาจใช้ถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ได้ตลอดไป ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังไม่ทำให้โจทก์ใช้ถนนได้ตลอดไปจำเลยก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์อยู่ตราบนั้น
พิพากษายืน

Share