แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ (ครู) ฟ้องจำเลย (เจ้าของ-ผู้จัดการโรงเรียน) ว่ากู้เงินโจทก์ใช้ในกิจการของโรงเรียน แต่เวลากู้ไม่ได้ทำหลักฐานกันไว้ แล้วโจทก์อ้างรายงานการประชุมครู 2 ฉบับ ซึ่งกระทำกันหลังการกู้ ฉบับแรกมีข้อความกล่าวถึงว่าโรงเรียนยังมีหนี้สินอยู่โดยเฉพาะเป็นหนี้โจทก์ 20,000 บาท เมื่อเก็บเงินจากนักเรียนได้แล้วก็จ่ายให้เป็นเงินเดือนครูจนพอ เหลือจากนั้นแล้วจึงใช้หนี้ ฉบับหลังมีข้อความว่า โจทก์สงสัยหนี้สินที่ค้างบัญชีตั้งแต่เจ้าหน้าที่คนเก่าจะจัดการอย่งไร เพราะถึงกำหนดต้องใช้เขาแล้ว จำเลยตอบว่า ได้ลงมติในที่ประชุมตามรายงานฉบับแรกแล้วว่าเงินส่วนที่เหลือจากจ่ายเงินเดือนครู ต้องพิจารณาใช้หนี้โจทก์เป็นรายแรก และรายงานทั้ง 2 ฉบับนี้มีลายเซ็นของจำเลยในฐานะประธานที่ประชุมทั้ง 2 ครั้ง ดังนี้ ข้อความในรายงาน 2 ฉบับนี้ไม่กำกวม ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้ และรายงานการประชุมครูนี้ไม่ใช่สัญญากู้ยืม เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าได้มีการกู้เงินรายนี้กันเท่านั้น จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงรับฟังเป็นพยานได้
อนึ่ง แม้รายงานนี้ไม่ได้มีการรับรองตามระเบียบวาระการประชุม แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการทักท้วงข้อบกพร่องแห่งการจดรายงานแต่อย่างใด ทั้งมีลายมือจำเลยเซ็นไว้ท้ายรายงาน จึงใช้ยันจำเลยได้
ย่อยาว
คดีได้ความว่า เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๐ โจทก์ได้เป็นภริยาของจำเลยโดยมิได้จดทะเบียนสมรส วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๐๐ จำเลยยืมเงินโจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท เพื่อซื้ออุปกรณ์ในการสร้างโรงเรียนศรีศิลปวิทยาลัยของจำเลย แต่ไม่ได้ทำหนังสือกันไว้ และโจทก์ก็เข้าเป็นครูอยู่ในโรงเรียนนี้ด้วย จนเดือนกันยายน ๒๕๐๑ จำเลยจะให้โจทก์ออกจากหน้าที่ครู โจทก์ไม่ยอมจนกว่าจำเลยจะใช้หนี้ให้ ในคราวประชุมครูของโรงเรียนนี้ครั้งที่ ๑๐ และ ๑๑ เมื่อวันที่ ๒๔ และ ๒๕ กันยายน ๒๕๐๑ ได้มีการพูดถึงหนี้สินของโรงเรียนด้วย ปรากฏว่ารายงานการประชุมครั้งที่ ๑๐ มีข้อความกล่าวถึงว่าทางโรงเรียนยังมีหนี้สินอยู่โดยเฉพาะเป็นหนี้ครูปรียา (โจทก์) ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อเก็บเงินจากนักเรียนได้แล้ว ก็ให้จ่ายเป็นเงินเดือนครูจนพอ เหลือจากจ่ายให้ครูแล้วจึงใช้หนี้ และรายงานการประชุมครั้งที่ ๑๑ มีข้อความว่า นางปรียาสงสัยหนี้สินที่ค้างบัญชี ตั้งแต่เจ้าหน้าที่คนเก่าจะจัดการอย่างไร เพราะถึงกำหนดต้องใช้เขาแล้ว ประธานตอบว่า ได้ลงมติในที่ประชุม ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๐๑ แล้วว่าเงินที่เหลือจากจ่ายเงินเดือนครูต้องพิจารณาใช้หนี้นางปรียาเป็นรายแรก รวมรายงานทั้ง ๒ ฉบับนี้
มีลายมือชื่อของจำเลยลงไว้ข้างท้ายในฐานะประธานที่ประชุม โจทก์อ้างรายงานการประชุมครูนี้มาเป็นหลักฐานฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า รายงานการประชุมครู ๒ ฉบับนี้ไม่พอรับฟังว่าจำเลยได้ทำเป็นหลักฐานเป็นหนังสือเกี่ยวกับเงินสองหมื่นบาทดังฟ้องของโจทก์ ให้โจทก์ยึดถือไว้เพื่อเป็นหลักฐานฟ้องร้องจำเลย เอกสารดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ เพราะข้อความกำกวมไม่ชัดแจ้ง มีข้อควรสงสัยอยู่ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เอกสาร ๒ ฉบับนี้ย่อมเป็นหลักฐานในการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
เกี่ยวกับเอกสาร ๒ ฉบับนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
๑.ที่จำเลยฎีกาว่า รับฟังไม่ได้ เพราะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า รายงานประชุมครูนี้ไม่ใช่เป็นสัญญากู้ยืม เป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือแสดงว่าได้มีการกู้เงินรายนี้กันเท่านั้น จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ จึงรับฟังเป็นพยานได้
๒.รายงานการประชุมครูซึ่งมีข้อความและมีลายมือชื่อของจำเลยดังกล่าวแล้วนั้น จำเลยไม่ได้ปฏิเสธความจริงของรายงานนี้ เป็นแต่โต้แย้งว่าข้อความกำกวม ไม่ได้ความว่าเป็นการกู้เงิน เบี่ยงบ่ายจะให้ฟังเป็นเรื่องหนี้ค่าไม้ที่ทางโรงเรียนเป็นหนี้โจทก์ ซึ่งแท้จริงหาเป็นดังที่จำเลยต่อสู้ไม่ เพราะโจทก์มีพยานมาเบิกความประกอบแสดงว่าหนี้ ๒๐,๐๐๐ บาท ตามรายงานฯ นั้น เป็นหนี้การกู้ยืมรายนี้เอง
๓.ที่จำเลยอ้างว่ารายงานฯ นี้ไม่ได้มีการรับรองตามระเบียบวาระการประชุม ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีการทักท้วงอย่างใด ทั้งมีลายมือจำเลยเป็นผู้เซ็นท้ายรายงานการประชุม จึงใช้ยันจำเลยได้
พิพากษายืน