คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3672/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามที่คู่ความแถลงร่วมกันเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนปัญหาที่ว่าคำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเอง ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในประเด็นที่ยกขึ้นต่อสู้ ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 หรือไม่นั้น ไม่เป็นประเด็นแห่งคดี เมื่อไม่มีประเด็นดังกล่าวขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อนี้ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยวินิจฉัยว่าคำให้การของจำเลยขัดแจ้งกันเอง จำเลยไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การ จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทโจทก์ไม่เคยเข้าไปยึดถือครอบครองหรือเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแต่อย่างใดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครองปลูกบ้าน และเข้าทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2523 ตลอดมาโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยทั้งสองมิได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ ฟ้องโจทก์เป็นเท็จโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนเสาปูนซีเมนต์และสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองชัดแจ้งและคดีมีประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท หรือคำให้การของจำเลยทั้งสองขัดแย้งกันเอง เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในประเด็นที่ยกขึ้นต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองคดีจึงคงมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ในชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามที่คู่ความแถลงร่วมกันว่าคดีมีประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเท่านั้นส่วนปัญหาที่ว่าคำให้การของจำเลยทั้งสองซึ่งในตอนแรกว่าโจทก์มิใช่เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แต่ตอนต่อมากลับให้การว่าที่ดินพิพาทถูกจำเลยทั้งสองแย่งการครอบครองเกินกว่า 1 ปีการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองของโจทก์จึงขาดอายุความเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเองไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในประเด็นที่ยกขึ้นต่อสู้ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 หรือไม่นั้น ไม่เป็นประเด็นแห่งคดี จึงไม่มีประเด็นดังกล่าวขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งปัญหาข้อนี้ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยวินิจฉัยว่าคำให้การของจำเลยทั้งสองขัดแย้งกันเอง จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะนำสืบในประเด็นข้อนี้ จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา คดีคงมีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้อต่อไปของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไปเสียทีเดียว โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาใหม่ และรับฟังข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์ได้รับยกให้จากนายฉุ่นและนางกั้ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share