คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค้ำประกัน ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีกำหนดอายุความเท่าใด. จึงมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164.
การบรรยายฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม.
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้อัตราหนึ่ง. ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้เข้าค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่1 อีกอัตราหนึ่ง. ดังนี้ หาทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิดต่อโจทก์ไม่.
จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันการที่จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นบัญชีเดียวกัน. จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดอยู่ตามจำนวนที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ภายในจำนวนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันไว้. แม้โจทก์ยอมรับการชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 จำนวนหนึ่งและปลดหนี้ให้โดยการถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 เสียนั้น. ก็หาใช่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2จนถึงกับให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นความรับผิดไปด้วยไม่.เพราะหนี้รายนี้ยังมิได้ชำระโดยสิ้นเชิง. การปลดหนี้ดังกล่าวคงเป็นประโยชน์เพียงเท่าส่วนที่ได้ปลดไปเท่านั้น.
ปัญหาว่าบริษัทจำเลยไม่มีวัตถุประสงค์ค้ำประกันหนี้. หากไปประกันหนี้จะต้องรับผิดหรือไม่. มิใช่ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขอเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์จำนวนหนึ่ง โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีอีก อีกจำนวนหนึ่งโดยมีจำเลยที่ 3เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีไปเป็นจำนวน 104,585.33บาท แล้วจำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 สู้ว่า ได้เคยเบิกเงินเกินบัญชี แต่ได้ตกลงทำลังใส่ใบยาส่งนอกหักผ่อนชำระกันเสร็จสิ้นไปแล้ว เข้าใจว่าไม่มีหนี้สินเกี่ยวข้อง แต่เพื่อไม่ให้ยุ่งยากขอรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ 50,000บาท โดยจะผ่อนชำระให้เดือนละ 1,000 บาท โดยมีผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 สู้ว่า จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ไม่เกิน 50,000 บาท ในระยะ 6 เดือน โจทก์มิได้แสดงในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดเป็นจำนวนเงินเท่าใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยเซ็นชื่อในฐานะผู้ค้ำประกันเท่านั้น ไม่ได้ยอมให้ถือว่าเป็นลูกหนี้ร่วมด้วย โจทก์ยอมผ่อนเวลาให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีอีก โดยมิได้บอกให้จำเลยที่ 2 รู้เห็นยินยอมด้วยจำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1เบิกเงินเกินบัญชีอีก 30,000 บาท และมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 จึงไม่ทราบว่าต้นเงินรวมกับดอกเบี้ยเฉพาะที่จำเลยที่ 2ค้ำประกันไว้เป็นจำนวนเท่าใด โจทก์ว่าจำเลยที่ 1 นำเงินเข้าบัญชีฝากเพื่อกลบหนี้ แต่ก็มิได้แยกส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3จะต้องรับผิดกันในระยะใด และเป็นจำนวนคนละเท่าใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 3 มาค้ำประกันโดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ และจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยที่ 2 จึงพ้นจากความรับผิดต่อโจทก์ เพราะโจทก์ได้เปลี่ยนตัวผู้ค้ำประกันใหม่แล้ว คดีโจทก์ก็ขาดอายุความ จำเลยที่ 3 สู้ว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 มีระยะ12 เดือนจริง แต่ข้อความอื่นในสัญญาเป็นการจำยอม จึงเป็นโมฆะโจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบว่าจำเลยที่ 1 เบิกเงินไปเท่าใดโจทก์ยินยอมผ่อนเวลาให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ไม่รู้เห็นยินยอมทำให้จำเลยที่ 3 เสียหาย จำเลยที่ 3 หลุดพ้นจากความรับผิดแล้วจำเลยที่ 1 ขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์สองจำนวน โจทก์เอาหนี้ทั้งสองจำนวนมาปนและคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยมิได้แบ่งแยกความรับผิดแต่ละจำนวนแต่ละคนเป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเท่าจำนวนที่โจทก์ฟ้องมา โจทก์ชอบที่จะบังคับหนี้เอาจากจำเลยที่ 1ก่อน ถ้าไม่ได้ต้องบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ก่อนโจทก์ปล่อยให้ดอกเบี้ยพอกพูนจำเลยจึงไม่ยอมรับผิดและควรให้จำเลยผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ภายหลังสืบพยานโจทก์ได้ 1 ปาก จำเลยที่ 3 ยอมใช้เงินให้โจทก์20,000 บาท โจทก์ยอมรับและถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ซึ่งศาลอนุญาตให้ถอนได้ สำหรับจำเลยที่ 2 ตกลงกันไม่ได้ จึงได้พิจารณากันต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ตามที่โจทก์เรียกร้อง จำเลยที่ 2ต้องรับผิดเพียง 14,516.56 บาทเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิจะบังคับให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นจากต้นเงิน 14,516.56 บาทพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ต้นเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีให้โจทก์เป็นเงิน 46,647.16 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีโดยวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคาร หากโจทก์จะเรียกให้จำเลยที่ 2 รับผิด ก็ให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์เพียง 14,516.16 บาท ทั้งนี้ไม่ต้องรับผิดรวมถึงดอกเบี้ยทบต้นหลังวันที่ 10 พฤษภาคม 2399 ด้วย จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีกำหนดอายุความเท่าใด จึงมีกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 และคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม ที่โจทก์ให้จำเลยที่ 3 เข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 หาทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิดต่อโจทก์ไม่ เพราะจำนวนเงินที่พิพาทกันสำหรับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 กับโจทก์นั้นตามสัญญาให้เบิกเงินเกินบัญชีได้ในอัตราต่างกันเพราะทำคนละคราวกันการที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 3 มาเป็นผู้ค้ำประกัน ไม่ถือว่าโจทก์สละสิทธิที่จะให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อไป จำเลยที่ 2 ที่ 3มีความรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันการที่จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชี อันเป็นบัญชีเดียวกัน จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดอยู่ตามจำนวนที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ภายในจำนวนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันไว้ แม้โจทก์ยอมรับการชำระหนี้จากจำเลยที่ 3เป็นเงิน 20,000 บาท และปลดหนี้ให้โดยการถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3เสียนั้น ก็หาใช่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 จนถึงกับให้จำเลยที่ 2หลุดพ้นความรับผิดไปด้วยไม่ เพราะหนี้รายนี้ยังมิได้ชำระโดยสิ้นเชิงการปลดหนี้ดังกล่าวคงเป็นประโยชน์เพียงเท่าส่วนที่ได้ปลดไปเท่านั้น ประเด็นข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า ต้นเงิน 14,516.56 บาทเป็นจำนวนหนี้แท้จริง และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ และต้นเงินจำนวนนี้เป็นต้นเงินก่อนที่จำเลยที่ 3 เข้าค้ำประกัน ที่ว่าบริษัทจำเลยที่ 2 ไม่มีวัตถุประสงค์ค้ำประกันหนี้จะต้องรับผิดหรือไม่ไม่เป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2ก็ไม่มีสิทธิอ้างอิงปัญหาดังกล่าวนี้ พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยทั้งสอง.

Share