คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3220/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้สำเนาหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ท้ายฟ้องซึ่งเป็นภาพถ่ายจากต้นฉบับ ไม่มีอากรแสตมป์ติดอยู่ด้วยในขณะยื่นฟ้อง แต่ต้นฉบับที่ส่งศาลในวันสืบพยานได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนและขีดฆ่าแล้ว ดังนี้ หนังสือดังกล่าวย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ผู้รับมอบอำนาจจึงมีอำนาจฟ้องแทนโจทก์

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 120,600 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง เฉพาะจำเลยที่ 2 ให้ใช้เงินแก่โจทก์เพียง 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 37,500 บาท แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยที่ 2 ฎีกาในข้อแรกว่า นายเสน่ห์นาคินพร์ ไม่มีอำนาจฟ้องแทนโจทก์ที่ 2 ได้เพราะหนังสือมอบอำนาจมิให้ปิดอากรแสตมป์มาแต่ต้นในขณะยื่นฟ้อง พิเคราะห์แล้วตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 บัญญัติว่า “ตราสารใด ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับคู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีการชำระหนี้และขีดฆ่าแล้ว ฯลฯ” ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 2ท้ายฟ้องหมายเลข 3 ซึ่งเป็นภาพถ่ายจากต้นฉบับปรากฏว่าไม่มีอากรแสตมป์ติดอยู่ด้วยในขณะยื่นฟ้องก็ตาม แต่ปรากฏว่าต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.5 ที่โจทก์ส่งต่อภายในวันสืบพยานนั้นได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราที่กฎหมายบัญญัติไว้และขีดฆ่าแล้ว ดังนี้ หนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.4 ดังกล่าว ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้นายเสน่ห์ นาศินทร์ ผู้รับมอบอำนาจจึงมีอำนาจฟ้องแทนโจทก์ที่ 2″

พิพากษายืน

Share