แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้สัญญาเช่าซื้อระบุว่าหนี้ที่ค้างชำระจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 แก่โจทก์ แต่ค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถนั้นไม่ใช่หนี้ที่ค้างชำระ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามสัญญาดังกล่าวแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์เปอโยต์ ๕๐๕ จากโจทก์ ๑ คัน ในราคา ๕๙๖,๔๐๐ บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวด ๆรวม ๔๘ งวด โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ตั้งแต่งวดที่ ๑๕ ติดต่อมาจนบัดนี้ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๓๘๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๔๙,๑๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืน หรือชดใช้ราคาให้โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อเปอโยต์รุ่น ๕๐๕ คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากไม่คืนก็ให้ใช้ราคา ๒๕๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการที่อาจนำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกให้เช่าในอัตราเดือนละ ๘,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบหรือใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์ แต่ทั้งนี้มีกำหนดไม่เกิน ๒๔ เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ต่อมาภายหลังได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกาเฉพาะจำเลยที่ ๑ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ ๒ ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๙ นั้น เห็นว่าค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถนั้น ไม่ใช่หนี้ที่ค้างชำระตามสัญญาข้อ ๙ อันจะบังคับให้จำเลยที่ ๒ เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ แก่โจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.