แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันปิดถนนปล้นรถยนต์ที่ผ่านมา ตามพฤติการณ์ของจำเลยนั้นเมื่อทำการปล้นผู้โดยสารบนรถยนต์คันใด เสร็จแล้วจึงได้ทำการปล้นผู้โดยสารบนรถคันต่อๆ ไปที่ผ่านมาใหม่ จนครบ 4 คันจึงเป็นการกระทำต่างกรรมกันหาใช่เป็นกรรมเดียวกันไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมโดยปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายหลายคนรวมเป็นเงิน 23,984 บาทไป โดยแต่งกายให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจและโดยใช้อาวุธปืน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 91, 83 และให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1, 3, 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง, 83, 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 15 ปี รวม 5 กระทง จำคุกคนละ 75 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1ไว้ 50 ปี จำเลยที่ 2, 5, 6, 7 มีความผิดตามมาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 83, 91จำคุกกระทงละ 20 ปี รวม 5 กระทง จำคุกคนละ 100 ปี และให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดเพียง 4 กระทงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 40 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 คนละ 50 ปี
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้มั่นคงว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6ร่วมกันปิดถนนปล้นรถยนต์ที่ผ่านมารวม 4 คัน ส่วนที่จำเลยที่ 5 ฎีกาว่าคดีนี้ได้มีการปิดถนนและกระทำต่อเนื่องกันเป็นการปล้นครั้งเดียวจึงถือเป็นการกระทำกรรมเดียวนั้น เห็นว่าตามพฤติการณ์ของจำเลยนั้นเมื่อทำการปล้นผู้โดยสารบนรถคันใดเสร็จแล้ว จึงได้ทำการปล้นผู้โดยสารบนรถคันต่อ ๆ ไปที่ผ่านมาใหม่จนครบ4 คัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมกันมิใช่กรรมเดียวกัน
พิพากษายืน