คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3654/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยมิได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ทันทีที่บุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 แต่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 หลังจากที่จำเลยถามหาผู้เสียหายที่ 1 แล้วผู้เสียหายที่ 2 ตอบว่าผู้เสียหายที่ 1 ไปธุระนอกบ้าน แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 เจตนาที่จะบุกรุกบ้านของผู้เสียหายที่ 1 กับเจตนาที่จะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 จึงแยกจากกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านพัก อันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางอุทัยวรรณ์หรืออุทัยวรรณ ขวัญดี ผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร หลังจากที่จำเลยบุกรุกเคหสถานดังกล่าวแล้วจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยบริเวณใบหน้าของนายสมเจตน์ สุวรรณไตรย์ ผู้เสียหายที่ 2 หลายครั้ง แล้วใช้วัตถุของแข็งไม่ปรากฏชัดว่าเป็นสิ่งใดตีถูกบริเวณศีรษะของผู้เสียหายที่ 2 อีกหลายครั้ง เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่ตำบลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 295, 364, 365 (3)
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาทำร้ายร่างกาย เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วจึงรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 365 (3) (ที่ถูกมาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 364) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานบุกรุกในเวลากลางคืน จำคุก 1 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำคุก 8 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวนั้น ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านซึ่งชั้นล่างทำเป็นร้านขายอาหารของผู้เสียหายที่ 1 แล้วขึ้นไปชั้นบนของบ้านถามหาผู้เสียหายที่ 1 เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ตอบว่า ผู้เสียหายที่ 1 ไปธุระนอกบ้าน จำเลยก็ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 เห็นว่า เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยถามหาผู้เสียหายที่ 1 ก่อน เมื่อผู้เสียหายที่ 2 พูดกับจำเลยว่าผู้เสียหายที่ 1 ไปธุระนอกบ้าน จำเลยก็ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 จำเลยมิได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ทันทีที่พบ เพิ่งจะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 หลังจากที่ผู้เสียหายที่ 2 พูดกับจำเลยแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะบุกรุกและเจตนาที่จะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 แยกจากกัน โดยจำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…ฯลฯ…แต่อย่างไรก็ดี โทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กำหนดมาในแต่ละกระทงความผิดนั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้เหมาะสมแก่รูปคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืน ให้ลงโทษจำเลย จำคุก 4 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้ลงโทษกักขังมีกำหนด 3 เดือน แทนโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share