คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแรกโจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวอ้างว่า จำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจฉบับปลอมไปทำการโอนที่พิพาทเป็นของจำเลยคดีหลังโจทก์อ้างว่าหลังจากฟ้องคดีแรกแล้ว โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ยอมยกหนี้สินให้จำเลยและยอมถอนฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยอยู่ โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีจึงต่างกัน แม้คำขอบังคับจะเป็นการให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เช่นเดียวกัน ก็มิใช่คำฟ้องเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีหลังไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภริยานายรวบ พรหมพฤกษ์ อยู่กินด้วยกันมาประมาณ 50 ปี มีทรัพย์สินเป็นสินสมรส คือ เงินสดและเงินฝากธนาคาร ที่ดินโฉนดเลขที่ 35 หนึ่งแปลง มีบ้านไม้สองชั้นและห้องแถวสองชั้นสองห้องปลูกอยู่ในที่ นายรวบ พรหมพฤกษ์ ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินเฉพาะส่วนของตนให้ผู้มีชื่อและเป็นทุนจัดตั้งมูลนิธิขึ้นรายหนึ่งโดยให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกนายรวบ พรหมพฤกษ์ ถึงแก่กรรม โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดไชยาว่าจำเลยสมคบกับพวกทำหนังสือมอบอำนาจปลอมหนึ่งฉบับโดยระบุข้อความอันเป็นเท็จว่า นายรวบ พรหมพฤกษ์ มอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลย แล้วจำเลยนำใบมอบอำนาจปลอมนั้นไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนการโอน เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นใบมอบอำนาจที่แท้จริง ได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนโฉนดให้จำเลยแล้ว โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายและการโอนโฉนดที่ดินดังกล่าวปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดไชยาหมายเลขดำที่ 34/2515 ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงเลิกคดีกันมีใจความว่า จำเลยยอมคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 34/2515 ให้โจทก์ โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงิน 21,000 บาทที่จำเลยค้างชำระค่าที่ดินโจทก์อยู่ โดยจำเลยจะไปยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการคืนทรัพย์ภายใน 15 วัน และโจทก์จะถอนฟ้องคดีแพ่งภายใน 7 วันนับแต่วันทำสัญญา ปรากฏตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง หลังจากนั้นโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องตามกำหนดแล้ว แต่จำเลยมิได้ไปยื่นเรื่องราวขอทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องคืนให้โจทก์จนบัดนี้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดไชยาหมายเลขดำที่ 34/2515 นั้น ปราศจากหลักฐานที่เป็นจริง จำเลยได้ให้การแก้คดีไว้แล้ว จำเลยได้ถูกโจทก์กับพวกหลอกลวง ฉ้อโกง ขู่เข็ญข่มขืนใจและกรรโชกด้วยการใช้อาวุธปืนจะยิง บังคับให้จำเลยลงนามในสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยกลัวจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต จึงได้ลงนามในสัญญานั้น ต่อมาจำเลยได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอไชยา และได้บอกล้างสัญญาประนีประนอมยอมความไปยังโจทก์แล้ว สัญญาจึงตกเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันจำเลยแต่ประการใด อีกประการหนึ่งคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 34/2515ศาลจังหวัดไชยาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2515 ตามสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดไชยาหมายเลขแดงที่ 41/2514 แต่คดียังไม่ถึงที่สุดโดยโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษา คดีดังกล่าวกับคดีนี้โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35 ตำบลตลาดไชยา อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้โจทก์เช่นเดียวกัน อาศัยมูลคดีเดียวกัน คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล โจทก์ฟ้องคดีนี้ขึ้นใหม่จึงเป็นการฟ้องซ้ำในเรื่องเดียวกันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนนิติกรรมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35 ตำบลตลาดไชยา อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแรกที่โจทก์ฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 และข้อเท็จจริงควรรับฟังว่า จำเลยถูกข่มขู่ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และจำเลยได้บอกล้างแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับ

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง กล่าวหาว่าจำเลยทำหนังสือมอบอำนาจปลอมในการโอนขายที่พิพาท ขอให้จำเลยโอนที่พิพาทคืนตามสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดไชยาหมายเลขดำที่ 34/2515 ในระหว่างดำเนินคดีดังกล่าว โจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งจำเลยอ้างว่า ได้ทำไปเพราะถูกข่มขู่

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความหมาย จ.2 โดยมิได้ถูกข่มขู่

วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแรกที่โจทก์ฟ้องจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 นั้น ปรากฏว่าในคดีแรกโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจของนายรวบ พรหมพฤกษ์ฉบับปลอมไปทำการโอนที่พิพาทเป็นของจำเลย ในคดีนี้โจทก์อ้างว่า หลังจากฟ้องคดีแรกแล้ว โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ยอมยกหนี้สินให้จำเลยและยอมถอนฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยอยู่ โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีจึงต่างกัน แม้คำขอบังคับจะเป็นการให้ จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เช่นเดียวกัน ก็มิใช่คำฟ้องเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามตามบทกฎหมายที่จำเลยฎีกา

พิพากษายืน

Share