แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือประนีประนอมเอกสารที่พิพาทเป็นแบบพิมพ์ของจำเลยที่ 2 ถูกทำขึ้นไว้ก่อนแล้วนำมาให้ ส. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ลงชื่อรับเงินในวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส โดยจำเลยที่ 2 มิได้มอบเงินจำนวนที่ระบุในหนังสือประนีประนอมให้แก่โจทก์ในวันที่ระบุในหนังสือประนีประนอม และโจทก์ยังติดใจเรียกร้องค่าเสียหายส่วนที่ขาดอยู่อีก การยอมรับเงินจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอม โจทก์มีเจตนารับชำระไว้เป็นค่าเสียหายเพียงบางส่วนกับมีเจตนาเพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับโทษทางอาญาในสถานเบา มิใช่เป็นการตกลงกันในค่าเสียหายทั้งหมด มูลหนี้ละเมิดที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ดังกล่าวจึงยังไม่ระงับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 132,934.16 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย นอกจากนี้เหตุละเมิดที่เกิดขึ้นได้ระงับสิ้นไปแล้ว โดยโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยทั้งสอง ยอมรับเงินชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 30,000 บาท ไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 72,612 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 14 มิถุนายน 2537 ไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่า มูลหนี้ละเมิดได้ระงับไปตามหนังสือประนีประนอม ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2537 เอกสารหมาย ล.7 หรือไม่ คดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2537 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถด้วยความประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์จนได้รับความเสียหายและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสหลังเกิดเหตุโจทก์มอบอำนาจให้นายสุริยกานต์ ชัยเนตร เป็นผู้ติดต่อเจรจาค่าเสียหายกับจำเลยทั้งสอง ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.1 ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2537 นายสุริยกานต์ได้ทำบันทึกการเจรจาค่าเสียหายกับตัวแทนจำเลยที่ 2 ตกลงค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 30,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.6 ครั้นวันที่ 31 สิงหาคม 2537 จำเลยที่ 2 ได้นำเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 30,000 บาท ไปมอบให้โจทก์ที่ศาลแขวงดุสิต โดยนายสุริยกานต์ได้ลงชื่อรับเช็คไปมอบให้โจทก์แล้ว ตามใบสำคัญจ่ายเอกสารหมาย ล.8 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ศาลแขวงดุสิตนัดสืบพยานโจทก์ในคดีที่พนักงานอัยการกองคดีศาลแขวงดุสิต เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายมีผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.6 เมื่อจำเลยที่ 2 ได้นำเช็คจำนวน 30,000 บาท มาจ่ายให้แก่โจทก์แล้วศาลแขวงดุสิตได้จดรายงานกระบวนพิจารณาไว้ว่า “อนึ่ง ในวันนี้ฝ่ายจำเลยได้นำเงินจำนวน 30,000 บาท มามอบให้แก่ผู้เสียหาย (โจทก์คดีนี้) เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน และฝ่ายจำเลยแถลงว่าจะช่วยดำเนินการติดตามให้ผู้เสียหายได้รับเงินจากบริษัทประกันภัยซึ่งรับประกันภัยรถยนต์ที่จำเลยขับอีกส่วนหนึ่งด้วยผู้เสียหายแถลงว่าได้รับเงินบางส่วนแล้วพอใจกับคำแถลงของฝ่ายจำเลย ไม่ติดใจเอาความกับจำเลย ขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา”ตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลแขวงดุสิตเอกสารหมาย จ.5 และศาลแขวงดุสิตมีคำพิพากษาในวันเดียวกันให้ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 2 เดือนและปรับ 1,500 บาท โทษจำคุกรอไว้ 2 ปี ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.8 ตามใบสำคัญจ่ายเอกสารหมาย ล.8 ส่วนที่ 8 งานการเงิน ข้อ 8.2 มีลายมือชื่อผู้รับเงินเขียนด้วยปากกาหมึกแห้งสีน้ำเงินลงวันที่กำกับ 31 สิงหาคม 2537 มีลายเขียนและสีน้ำหมึกใกล้เคียงกับลายมือชื่อของนายสุริยกานต์ ชัยเนตร ตรงช่องผู้เสียหาย/รับเงิน ตามที่ปรากฏในหนังสือประนีประนอมเอกสารหมาย ล.7 แต่สีน้ำหมึกและปากกาที่ใช้เขียนข้อความในหนังสือประนีประนอมดังกล่าวกับสีน้ำหมึกและปากกาตรงลายมือชื่อของนายสุริยกานต์ในช่องผู้เสียหาย/รับเงิน ตามเอกสารหมาย ล.8 ก็แตกต่างกันมากและเห็นได้ชัด ฟังได้ว่าแบบพิมพ์หนังสือประนีประนอมเอกสารหมาย ล.7 ถูกทำขึ้นไว้ก่อนแล้วนำมาให้นายสุริยกานต์ ผู้รับมอบอำนาจลงชื่อรับเงินในวันที่ศาลแขวงดุสิตนัดตัดสินคดี เห็นว่า หนังสือประนีประนอมเอกสารหมาย ล.7 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2537 ซึ่งเป็นแบบพิมพ์ของจำเลยที่ 2 ถูกทำขึ้นไว้ก่อนแล้วจึงนำมาให้นายสุริยกานต์ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ลงชื่อรับเงินในวันที่ 31 สิงหาคม 2537 ซึ่งเป็นวันที่ศาลแขวงดุสิตพิพากษาคดีที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 2 มิได้มอบเงินจำนวน 30,000 บาท ให้แก่โจทก์ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2537 อันเป็นวันที่ระบุในหนังสือประนีประนอมเอกสารหมาย ล.7 แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ตามที่เอกสารหมาย ล.7 ระบุว่าโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 แล้วในวันนั้นโดยโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาแก่พนักงานขับรถหรือจำเลยที่ 2 อีกต่อไป แต่กลับฟังได้ตามข้อความที่ระบุไว้ในสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลแขวงดุสิตเอกสารหมาย จ.5 ดังกล่าวข้างต้นว่า โจทก์ยังติดใจเรียกร้องค่าเสียหายส่วนที่ขาดอยู่อีก การยอมรับเงินจำนวน 30,000 บาทไว้ โจทก์มีเจตนารับชำระไว้เป็นค่าเสียหายเพียงบางส่วนกับมีเจตนาเพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับโทษทางอาญาในสถานเบาเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกการเจรจาค่าเสียหาย ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2537 เอกสารหมาย ล.6 ระหว่างผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์กับตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ตกลงกันในค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 30,000 บาท เท่านั้น หาใช่การตกลงกันในค่าเสียหายทั้งหมดไม่ ดังนี้ เมื่อโจทก์ยังติดใจเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองอยู่อีก มูลหนี้ละเมิดที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ดังกล่าวจึงยังไม่ระงับไปตามหนังสือประนีประนอมเอกสารหมาย ล.7
พิพากษายืน