แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้าน และที่ดินพิพาทกับเรียกค่าเสียหายอ้างว่าบ้านและที่ดินเป็นของโจทก์ให้จำเลยอาศัย จำเลยให้การว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของบิดาจำเลยให้ภริยาโจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินแทน ก่อนตายบิดาจำเลยได้สั่งให้โจทก์ ภริยาโจทก์ จำเลยและน้อง ๆ รักษาบ้านและที่ดินพิพาทไว้เป็นที่อยู่อาศัยของญาติพี่น้อง แล้วจำเลยได้ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งว่า โจทก์คดีนี้ยอมยกที่ดินและบ้านพิพาทตีใช้หนี้แก่จำเลยแล้ว ขอให้โจทก์คดีนี้ใช้เงิน 198,000 บาท ให้จำเลย หรือโอนบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลย ในชั้นพิจารณาคดีนี้โจทก์จำเลยตกลงกันว่า ถ้าผลอีกคดีหนึ่งนั้นโจทก์ในคดีนี้ชนะคดีจำเลยยอมแพ้คดีนี้ด้วย และยอมชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง แต่ถ้าโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีดังกล่าว โจทก์ก็ต้องแพ้คดีนี้ด้วย โดยโจทก์ต้องยอมชำระเงินให้จำเลย 198,000 บาท เพื่อให้จำเลยออกจากบ้านและที่ดินพิพาทหรือยอมโอนบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลย ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลฎีกาฟังว่าจำเลยได้ออกเงินช่วยรักษาพยาบาลภรรยาโจทกย์จริง แต่จำเลยฟ้องรวมมากับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่อาจทราบได้ว่าค่าใช้จ่าย และค่ารักษาพยาบาลอย่างละเท่าไร ไม่อาจพิพากษาให้ได้ จึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิจำเลยไปฟ้องเรียกเงินทดรองในการรักษาพยาบาลภรรยาโจทก์ ดังนี้ คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ถือว่าผลคดีตรงตามคำท้าแล้ว คือโจทก์คดีนี้เป็นฝ่ายชนะในคดีนั้น จำเลยจึงต้องแพ้คดีนี้ตามคำท้า จำเลยจะอ้างว่าคดียังไม่เสร็จเด็ดขาด และจำเลยยังไม่สละสิทธิข้อต่อสู้ในคำให้การคดีนี้หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ โจทก์ โจทก์ให้จำเลยออกไปแต่จำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง แต่ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะคำให้การซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า บิดาจำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิาท แต่ได้ให้นางตุ๊ญาติของมารดาจำเลยลงชื่อแทนต่อมาโจทก์แต่งงานกับนางตุ๊ และก่อนบิดาจำเลยตายได้สั่งให้รักษาบ้านและที่ดินดังกล่าวไว้เป็นที่อยู่อาศัยของญาติพี่น้อง โจทก์ไม่เคยให้จำเลยออกจากบ้านพิพาทขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ทนายจำเลยแถลงว่าหลังจากที่ศาลไม่รับฟ้องแย้งแล้ว จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขคำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ ของศาลแพ่ง ซึ่งในฟ้องดังกล่าวมีสารสำคัญว่าโจทก์ในคดีนี้ยอมตกลงยกบ้านและที่ดินตีใช้หนี้แก่จำเลยคดีนี้ ขอให้โจทก์คดีนี้ใช้เงิน ๑๙๘,๐๐๐ บาท หรือโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๒๒ พร้อมทั้งบ้านเลขที่ ๔๗ ให้แก่จำเลยคดีนี้ คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงร่วมกันขอให้งดการพิจารณาคดีนี้ไว้รอฟังผลของคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ และตกลงกันว่า ถ้าโจทก์ชนะคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ จำเลยจะยอมแพ้คดีนี้ด้วย และยอมชดใช้ค่าเสียหายรายละเอียดข้อตกลงปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๕ ต่อมาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ ทั้งสองฝ่ายยอมรับว่า คดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ ถึงที่สุดแล้วจึงขอให้ศาลพิพากษาไปตามข้อตกลง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ ถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ซึ่งมีผลเท่ากับจำเลยผู้เป็นโจทก์คดีนี้ชนะคดีจำเลยคดีนี้จะต้องยอมแพ้และชดใช้ค่าเสียหายตามข้อตกลง พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ ๔๗ ซอยสีดา และที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๒ ตำบลวรจักร อำเภอป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คู่ความแถลงร่วมกันในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๕ ว่า ถ้าผลของคดีดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ โจทก์ในคดีนี้ชนะคดี จำเลยในคดีนี้จะยอมแพ้คดีนี้ด้วย และยอมชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง ถ้าผลของคดีโจทก์ในคดีนี้แพ้ในคดีดำที่ ๔๑๘๙/๒๕๑๕ และยอมชำระเงิน ๑๙๘,๐๐๐ บาท จำเลยในคดีนี้ก็ยอมออกจากบ้านและที่ดิน แต่ไม่ต้องใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าโจทก์แพ้ในคดีหมายเลขดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ และยอมโอนบ้านกับที่ดินให้จำเลยก็ถือว่าโจทก์ในคดีนี้ยอมแพ้ด้วย เห็นว่าที่คู่ความตกลงกันดังกล่าวเป็นเรื่องตกลงท้ากันให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ เป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้กล่าวคือ ถ้าผลของคดีหมายเลขดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ โจทก์ในคดีนี้ชนะคดี จำเลยคดีนี้จะยอมแพ้คดีนี้ด้วย และยอมชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง แต่ถ้าโจทก์เป็นฝ่ายแพ้ในคดีดังกล่าวโจทก์ก็ต้องแพ้ในคดีนี้ด้วย โดยโจทก์ต้องยอมชำระเงินให้จำเลย ๑๙๘,๐๐๐ บาท เพื่อให้จำเลยออกจากบ้านและที่ดินพิพาท หรือยอมโอนบ้านและที่ดินดังกล่าวให้จำเลย ปรากฏว่าคดีดังกล่าวจำเลยฟ้องว่าโจทก์ให้จำเลยช่วยปรนนิบัตินางตุ๊ภรรยาโจทก์ โดยโจทก์จะให้ค่าจ้าง ๒๐,๐๐๐ บาท และจำเลยกู้เงินจากญาติมาให้โจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาท กับออกเงินทดรองจ่ายในการรักษาพยาบาลนางตุ๊ไป และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๘,๐๐๐ บาท โจทก์ตกลงจะโอนที่ดินโฉนดที่ ๔๒๒ และบ้านเลขที่ ๔๗ เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวแต่ก็เพิกเฉย จึงขอให้โจทก์โอนที่ดินและบ้านดังกล่าวหรือใช้เงิน ๑๙๘,๐๐๐ บาท ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟังได้ว่าจำเลยออกเงินช่วยรักษาพยาบาลนางตุ๊จริง แต่ฟังไม่ได้ว่าจำเลยให้โจทก์ยืมเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท จำเลยฟ้องรวมกันมากับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และไม่อาจทราบได้ว่าค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินอย่างละเท่าใดจึงไม่อาจพิพากษาให้ได้ แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงไม่ตัดสิทธิที่จำเลยจะไปว่ากล่าวกับโจทก์อีก และพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จำเลยจะไปฟ้องเรียกเงินทดรองในการรักษาพยาบาลนางตุ๊ ดังนี้เห็นว่าผลของคดีดำที่ ๕๑๘๙/๒๕๑๕ ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องต้องถือว่าผลของคดีตรงตามคำท้าแล้ว คือโจทก์ในคดีนี้เป็นฝ่ายชนะในคดีนั้น จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนี้ตามคำท้า จำเลยจะอ้างว่าคดียังไม่เสร็จเด็ดขาด และจำเลยยังไม่สละสิทธิข้อต่อสู้ในคำให้การคดีนี้หาได้ไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามข้อตกลงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน