คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาดังกล่าว ปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วแต่ยังขายไม่ได้ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจำเลยจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ได้ ก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้การที่ยังขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่ได้มิใช่กรณีขายแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยจึงยังไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ การที่จำเลยหักบัญชีเงินฝากของ จทก์ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการปฏิบัติ นอกเหนือและผิดไปจากที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่อาจทำได้ และจำเลยจะอ้างว่าเป็นการหักกลบลบหนี้ ก็มิได้เพราะโจทก์และจำเลยมีข้อสัญญาที่จะต้องปฏิบัติ ต่อกันอยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้หักเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์ซึ่งฝากไว้กับธนาคารจำเลย จำนวน 370,462.82 บาท ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยฝ่าฝืนคำพิพากษาตามยอมที่กำหนดให้ยึดทรัพย์ที่ดินจำนองของโจทก์ชำระหนี้ก่อนหากได้เงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่พอชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแล้ว จึงให้ยึดทรัพย์สินอื่นของโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ในคดีนั้นจนครบถ้วน ขอให้บังคับจำเลยนำเงินจำนวน 370,462.82 บาท มาเข้าบัญชีเงินฝากคืนให้แก่โจทก์ที่ธนาคารจำเลย สาขาหางดง เป็นเงิน 1,494.39 บาท และที่สาขานานาเหนือจำนวน 368,968.43 บาท พร้อมชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2540 ตามอัตราเงินฝากเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะถอนเงินคืนมาได้
จำเลยให้การว่า ทรัพย์จำนองที่จำเลยยึดไว้เพื่อขายทอดตลาดนั้นมีมูลค่าซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้เพียง 19,968,300 บาท ซึ่งไม่พอชำระหนี้ของโจทก์ที่มีอยู่กับจำเลยและไม่มีผู้สนใจเข้าสู้ราคา การใช้สิทธิหักเงินฝากของโจทก์เป็นการใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ซึ่งจำเลยมีสิทธิทำได้ตามกฎหมายและข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้ตัดสิทธิของจำเลยที่จะใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ดังกล่าวกับโจทก์ เมื่อทรัพย์จำนองของโจทก์มีมูลค่าไม่พอชำระหนี้ซึ่งมีไม่น้อยกว่า 23,838,099.03 บาท โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยนำเงินจำนวน 370,462.82 บาทเข้าบัญชีเงินฝากให้แก่โจทก์ ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)สาขาหางดง ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2540 เป็นเงินจำนวน1,494.39 บาท และที่สาขานานาเหนือ ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน2540 เป็นเงินจำนวน 368,968.43 บาท พร้อมชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2540 ตามอัตราเงินฝากเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะมีสิทธิถอนเงินคืนมาได้
จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า เดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องบังคับจำนองจากโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 กับพวก(ผู้ค้ำประกัน) ในที่สุดคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลใจความว่า จำเลยที่ 1 กับพวกยอมร่วมกันชำระเงินจำนวน 17,188,274.38 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ16 ต่อปี ในต้นเงิน 13,400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หนี้ดังกล่าวจำเลยที่ 1 กับพวกจะชำระทั้งหมดภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความหากผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 กับพวกชำระหนี้จนครบ ศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2588/2537 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาเกิดมีการผิดนัดและมีการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้ว 4 ครั้ง แต่ไม่มีผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์ดังกล่าว จำเลยในคดีนี้จึงได้นำหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมไปหักจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ในคดีนี้ที่ธนาคารจำเลย สาขาหางดง และสาขานานาเหนือ รวมเป็นเงินจำนวน 370,62.82 บาท
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธินำหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมไปหักจากบัญชีเงินฝากของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ขั้นตอนต่อไปหากคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งปรากฏต่อมาว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยก็ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วแต่ยังขายไม่ได้ เมื่อยังขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่ได้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงยังไม่เสร็จสิ้นและจะต้องดำเนินการต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม จำเลยจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ได้ก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ การขายทอดทรัพย์จำนองยังไม่ได้มิใช่กรณีขายแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจึงยังไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ การที่จำเลยหักบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการปฏิบัตินอกเหนือและผิดไปจากที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยไม่อาจทำได้ และจำเลยจะอ้างว่าเป็นการหักกลบลบหนี้ก็มิได้เพราะโจทก์และจำเลยมีข้อสัญญาที่จะต้องปฏิบัติต่อกันอยู่ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share