แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายได้ทำเอกสารฉะบับหนึ่งมีข้อกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนว่า ให้ยกเงินสองหมื่นบาทให้แก่ อ. เมื่อตนตาย ดังนี้ เอกสารดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นพินัยกรรม์
ในพินัยกรรม ตอนท้ายมีข้อความว่า (นางลำดวน) ผู้ทำพินัยกรรม์ ได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าผู้รู้เห็นไว้เป็นสำคัญแล้ว ยังมีคำว่า “ต่อหน้า” อยู่ข้างหน้ากึ่งกลางระหว่างลายมือชื่อพะยานกับผู้เขียนอีกด้วย จึงนับได้ว่าเป็นข้อความอันแสดงว่าบุคคลทั้ง 2 นี้ได้ลงชื่อในฐานะเป็นพะยาน ดังนี้ พินัยกรรม์รายนี้นับว่าถูกต้องตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1656 แล้ว แม้ตามมาตรา 1671 จะมีข้อความว่า ถ้าผู้เขียนข้อความแห่งพินัยกรรม์เป็นพะยาน ก็ให้เขียนข้อความระบุว่าตนเป็นพะยานต่อท้ายลายมือชื่อของตนเช่นเดียวกับพะยานผู้อื่นก็ดี ความมุ่งหมายสำคัญของมาตรานี้ ก็เพื่อให้มีข้อความแสดงว่า ผู้เขียนนั้นเป็นพะยานด้วย ซึ่งในคดีนี้ผู้เขียนก็ได้เบิกความรับรองไว้แล้ว พินัยกรรม์ จึงหาขัดกับมาตรา 1671 ไม่
พะยานจะลงชื่อก่อนหรือหลังผู้ทำพินัยกรรม์ไม่สำคัญ เมื่อได้ความว่า ผู้ทำพินัยกรรม์ได้ลงชื่อของตนในเวลาที่อยู่พร้อมกันในขณะนั้น ก็เป็นการใช้ได้.
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2492)
ย่อยาว
ความว่า เดิมนางลำดวนได้ฝากเงินนางชลอไว้ ๒๐๐๐๐ บาท เมื่อครั้งบางลำดวนยังมีชีวิตอยู่ได้แสดงความจำนงค์ยกเงินจำนวนนี้ให้แก่นายอาภรณ์ ดังปรากฎตามเอกสารหมาย จ. ๑ ซึ่งมีข้อความต่อไปนี้
“ที่บ้านประสพผล ๖๓ บางขุนพรหม พระนคร
วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙
ถึง คุณชลอ รังควร
เรื่องเงิน ๒๐๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาท) ถ้าดิฉันลำดวน โกสากรยังมีชีวิตอยู่ เงินจำนวน ๒๐๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาท) นี้ให้นางสาวผ่อน ธนโกเศสเป็นไปเบิกถอนได้ ถ้าดิฉันลำดวน โกสากรตายแล้ว เงินจำนวน ๒๐๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาท) ยังเหลืออยู่เท่าใด ขอให้มอบให้เด็กชายอาพร สวิรสวิสดิ์เป็นผู้เบิกถอนได้ เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าเด็กชายอาพร สวิรสวิสดิ์ยังไม่บันลุนิติภาวะจะเบิกหรือถอนเงินจำนวนที่เหลือนี้ทั้งหมดไม่ได้ ให้เบิกมาใช้จ่ายได้แต่พอสมควร แล้วแต่นางสาวผ่อน ธนโกเศสจะเห็นสมควร ได้อ่านทานให้นางลำดวน โกสากรฟังแล้ว ได้เขียนชื่อลายมือต่อหน้าผู้รู้เห็นไว้เป็นสำคัญ
เล็ก อมเรศสมบัติ
ต่อหน้า
ลำดวน
พ.ต.ณรงค์อินทรสูต ผู้เขียน
ต่อมานางลำดวนตาย โจทก์จึงฟ้องเรียกให้นางชลอส่งเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมฤดกนางลำดวน จำเลยอ้างว่า นางลำดวนได้ยกเงินรายนี้ให้แก่นายอาภรณ์ นางชลอได้นำเงินจำนวนนี้มาวางศาล.
ศาลแพ่งฟังว่า ข้อความในเอกสารหมาย จ. ๑ เป็นการแสดงเจตนาให้นางชลอปฏิบัติในทันทีในทันใด มากกว่าเป็นพินัยกรรม์ แม้จะถือว่าเป็นพินัยกรรม์ ก็ไม่มีพะยานครบถ้วน พิพากษาให้คืนเงินให้แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เอกสารหมาย จ. ๑ เป็นพินัยกรรม์ มีผลใช้ได้ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นว่า เอกสารหมาย จ. ๑ มีลักษณะเป็นพินัยกรรม์ แต่ทำไม่ถูกต้องตามที่กำหนดเป็นพินัยกรรม์ที่สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า เอกสารฉะบับนี้ได้มีข้อกำหนดเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของนางลำดวนว่า ให้ยกเงินสองหมื่นบาทให้แก่เด็กชายอาภรณ์ เมื่อนางลำดวนตายแล้ว จึงมีลักษณะเป็นพินัยกรรม์ ปรากฎว่าในเอกสารหมาย จ. ๑ นอกจากข้อความตอนท้ายว่า นางลำดวนได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าผู้รู้เห็นไว้เป็นสำคัญแล้ว ยังมีคำว่าต่อหน้าอยู่ระหว่างกึ่งกลางลายมือชื่อคุณหญิงเล็ก กับพันตรีณรงค์ด้วย นับได้ว่าเป็นข้อความอันแสดงว่าบุคคลทั้งสองนี้ได้ลงชื่อในฐานะเป็นพะยาน และพันตรีณรงค์เบิกความว่า “ที่ลงชื่อในเอกสารหมาย จ. ๑ เพื่อเป็นหลักฐานในการรู้เห็นของข้าพเจ้า ที่นางลำดวนลงชื่อต่อหน้าข้าพเจ้า” เช่นนี้พินัยกรรม์รายนี้นับว่าถูกต้องตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๖๕๖ แล้ว อนึ่งแม้มาตรา ๑๖๗๑ จะมีข้อความว่า ถ้าผู้เขียนข้อความแห่งพินัยกรรม์เป็นพะยานด้วย ให้เขียนข้อความระบุว่าตนเป็นพะยานต่อท้ายลายมือชื่อของตนเช่นเดียวกับพะยานอื่น ๆ ก็ดี ความมุ่งหมายสำคัญของมาตรานี้ เพื่อให้มีข้อความแสดงว่า ผู้เขียนนั้นเป็นพะยานด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีข้อความเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนข้อเถียงว่าพะยานลงชื่อก่อนนางลำดวนนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทั้งนางลำดวนและพะยานได้ลงชื่อของตนในเวลาที่อยู่พร้อมกันในขณะนั้น การที่นางลำดวนหรือพะยานจะลงชื่อก่อน หรือหลัง จึงหาใช่ข้อสำคัญ
พิพากษายืน