แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกข้อตกลงมีรายละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งเขตที่พิพาทระหว่างเจ้าของรวมซึ่งสามารถรังวัดแบ่งและกำหนดเขตได้แน่นอน จึงเป็นการสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคแรก บังคับให้แบ่งกันตามนั้นได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งที่ดินโฉนดที่ 229 ออกเป็น3 ส่วน ให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และจำเลยได้คนละส่วนเท่า ๆ กัน โดยให้แปลงที่ 1ทางตอนใต้ของที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์ที่ 2 ให้แปลงที่ 2 ถัดแปลงที่ 1ไปทางเหนือเป็นของจำเลย และแปลงที่ 3 ทางทิศเหนือเป็นของโจทก์ที่ 1ให้จำเลยยื่นคำขอแบ่งที่ดินร่วมกับโจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน พร้อมทั้งนำชี้แนวเขตที่ดินและจดทะเบียนแบ่งแยกจนเสร็จการ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จากคำฟ้องและคำให้การ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาท คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งเขตที่พิพาทไว้สมบูรณ์พอที่จะถือว่าเป็นการตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวมหรือไม่ พิเคราะห์แล้วบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ข้อ 1 มีความว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมีความประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนออกจากกัน โดยมีรายละเอียดในการแบ่งดังนี้ แปลงที่หนึ่งแบ่งที่ดินทางทิศใต้ให้เป็นของโจทก์ที่ 2 แปลงที่สองซึ่งอยู่ถัดแปลงที่หนึ่งไปทางทิศเหนือให้เป็นของจำเลย ส่วนแปลงคงเหลือทางทิศเหนือให้เป็นของโจทก์ที่ 1 ทั้งนี้ให้ทุกแปลงได้เนื้อที่เท่ากัน ศาลฎีกาเห็นว่ารายละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งเขตที่พิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตามที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลง สามารถทำการรังวัดแบ่งแยกและกำหนดเขตได้แน่นอน จึงเป็นการสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคแรก ที่บัญญัติไว้เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์รวมว่า “การแบ่งทรัพย์สินพึงกระทำโดยแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวม หรือโดยขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน”
พิพากษายืน