แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้ผู้คัดค้านที่ 1 ขณะที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1เด็ดขาดแล้ว สัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1ย่อมเป็นนิติกรรมที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 22,24 แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 เพราะตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 แล้ว อำนาจในการจัดการทรัพย์สินย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตนเว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาลเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้เท่านั้นดังนั้น สัญญาซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ไม่มีผลบังคับจำเลยที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ย่อมกลับสู่ฐานะเดิมโดยผลแห่งกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ผู้คัดค้านที่ 1 ภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาดแล้วก็ต้องปรับบทตามมาตรา 24 ไม่ใช่ปรับบทตามมาตรา 114,115 เพราะคำว่า”การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างเวลาสามปีหรือสามเดือนแล้วแต่กรณีก่อนมีการขอให้ล้มละลายหรือภายหลังนั้น”ตามมาตรา 114,115 หมายถึงการโอนหรือการกระทำที่กระทำกันก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ หาใช่การโอนหรือการกระทำหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อการโอนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1 เป็นโมฆะผู้คัดค้านที่ 1 ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพ*พิพาทที่จะโอนขายต่อให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 2 ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนอันจะได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา 116 หรือไม่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญที่ดินไว้แล้ว ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญที่ดินได้ และเจ้าพนักงานที่ดินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลโดยศาลไม่ต้องสั่งเจ้าพนักงานที่ดินอีก ไม่เกินคำขอแต่อย่างใด
ย่อยาว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่าภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 14214 ตำบลบุคคโล (บางไส้ไก่) อำเภอธนบุรี(บางกอกใหญ่) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 56/7ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 การโอนดังกล่าวเป็นการโอนภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจต้องห้ามตามมาตรา 22 ประกอบมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 นิติกรรมการโอนขายจึงตกเป็นโมฆะ แม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะรับโอนโดยจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ปรากฏว่าได้รับโอนโดยไม่สุจริตก็ตาม ผู้คัดค้านที่ 2 ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว ขอให้ศาลมีคำสั่งว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1 และระหว่าง ผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินเพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญที่ดินดังกล่าวด้วย
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 14214 ตำบลบุคคโล (บางไส้ไก่) อำเภอธนบุรี(บางกอกใหญ่) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 56/7จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โดยไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และผู้คัดค้านที่ 2ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจากผู้คัดค้านที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยแล้วจึงงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วมีคำสั่งว่า นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1 เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนในสารบัญที่ดินดังกล่าว ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1 และระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ส่วนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินเพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญที่ดินดังกล่าวนั้น เห็นว่าเจ้าพนักงานที่ดินมิได้ถูกฟ้องเป็นคู่ความในคดีนี้ด้วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้กระทำการเพิกถอนรายการจดทะเบียนไม่ได้คำขอส่วนนี้จึงให้ยก
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ขณะที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาดแล้วสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมเป็นนิติกรรมที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 22, 24แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เพราะตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 แล้ว อำนาจในการจัดการทรัพย์สินย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้เท่านั้นดังนั้น สัญญาซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ไม่มีผลบังคับจำเลยที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ย่อมกลับสู่ฐานะเดิมโดยผลแห่งกฎหมาย ที่ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกาว่าได้รับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ทั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มิได้ดำเนินการเรื่องการโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 114, 115 และ 116 นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้ผู้คัดค้านที่ 1 ภายหลังจากศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1เด็ดขาดแล้ว ก็ต้องปรับบทตามมาตรา 24 ไม่ใช่ปรับบทตามมาตรา 114,115 เพราะคำว่า “การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างเวลาสามปีหรือสามเดือนแล้วแต่กรณี ก่อนมีการขอให้ล้มละลายหรือภายหลังนั้น” ตามมาตรา 114, 115 หมายถึงการโอนหรือการกระทำที่กระทำกันก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ หาใช่การโอนหรือการกระทำหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อการโอนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1เป็นโมฆะ ผู้คัดค้านที่ 1 ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทที่จะโอนขายต่อให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนอันจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 116 หรือไม่ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา อีกข้อหนึ่งว่าคดีนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนในสารบัญที่ดิน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1กับผู้คัดค้านที่ 1 และระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2และศาลอุทธรณ์ยืนเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่าคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่เกินคำขอแต่อย่างใด เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญที่ดินไว้แล้ว ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในสารบัญที่ดินได้ และเจ้าพนักงานที่ดินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลโดยศาลไม่ต้องสั่งเจ้าพนักงานที่ดินอีก ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1กับผู้คัดค้านที่ 1 และระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2เป็นโมฆะนั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน