คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นให้โอกาสจำเลยหาเงินมาชำระหนี้ตามเช็คพิพาทแก่โจทก์โดยเลื่อนการฟังคำพิพากษาไปนาน 2 เดือน แต่จำเลยไม่ชำระในวันนัดฟังคำพิพากษาโจทก์จำเลยไม่สามารถตกลงกันได้ จำเลยขอเลื่อนคดีไปอีกเพื่อรวบรวมเงินมาชำระหนี้โจทก์ โจทก์คัดค้านศาลชั้นต้นสั่งให้รอฟังคำพิพากษาในวันนั้น จำเลยจึงแถลงลอย ๆ ว่าจำเลยเตรียมเงินมาพร้อมที่จะชำระให้โจทก์ 90,000 บาท และจะถอนเงินประกันอีก 60,000 บาท ชำระหนี้โจทก์ รวมเป็นเงิน 150,000 บาท ซึ่งเท่ากับยอดเงินตามเช็คพิพาท ดังนั้นพฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นได้ชัดว่าที่จำเลยขอเลื่อนคดีในตอนแรกนั้น จำเลยมีเจตนาที่จะประวิงคดี และข้อเสนอของจำเลยที่จะชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์เป็นไปอย่างมีชั้นเชิง แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้แก่จำเลย จำเลยอายุ 50 ปี สำเร็จการศึกษาเป็นเศรษฐศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีอาชีพค้าขาย มีภาระต้องดูแลภรรยาและบุตร ผู้เยาว์อีก 4 คน และจำเลยพยายามขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์ ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำนวน150,000 บาท อันเป็นการบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์ แม้จำเลยจะต้องคำพิพากษาในคดีอื่นให้ลงโทษจำคุก แต่คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดจึงถือว่าจำเลยยังไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน คดีมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกในคดีนี้ให้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ช.1398/2532 ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การปฏิเสธแต่ภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91เป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษ จำคุกจำเลยกระทงละ 3 เดือนรวม 3 กระทง ให้จำคุก 9 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 เดือนนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ช.1398/2532 ของศาลชั้นต้น จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ลดโทษจำคุกกึ่งหนึ่งและรอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องรวมสามฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 150,000 บาท ชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์นำเช็คทั้งสามฉบับไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าข้อเสนอของจำเลยที่จะชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 เป็นไปอย่างมีชั้นเชิงหรือไม่ เห็นว่า เมื่อเสร็จการพิจารณาแล้วศาลชั้นต้นเลื่อนการฟังคำพิพากษาไป 2 เดือน เพื่อให้โอกาสโจทก์จำเลยทำความตกลงกัน วันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ยังตกลงกับโจทก์ไม่ได้เนื่องจากเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์ไม่ใช่เฉพาะ 3 ฉบับ ที่พิพาทในคดีนี้เท่านั้น และโจทก์กับจำเลยมีการเจรจาเพื่อชำระหนี้ในจำนวนเงินทั้งหมด แต่เนื่องจากจำเลยยังไม่สามารถหาเงินทั้งหมดมาชำระหนี้ให้โจทก์ได้ จึงขอเลื่อนคดีไปก่อนเพื่อจะรวบรวมเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วน โจทก์แถลงว่า จำเลยไม่เคยชำระหนี้ให้โจทก์เลย โจทก์ได้ฟ้องจำเลยหลายคดี ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งมีการทำยอมกัน แต่จำเลยก็มิได้ชำระเงินตามยอม จึงขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไป ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์จำเลยไม่สามารถตกลงกันได้ จึงให้รอฟังคำพิพากษาในวันนั้น จำเลยแถลงว่าถ้าเช่นนั้นจำเลยได้เตรียมเงินมา 90,000 บาท พร้อมที่จะชำระให้โจทก์และยินดีถอนเงินประกัน 60,000 บาท ชำระให้โจทก์ด้วย แต่โจทก์แถลงว่าจำเลยไม่ได้เสนอเช่นนี้มาแต่แรก เมื่อเห็นว่าศาลจะพิพากษาคดีจึงได้เสนอเช่นนี้ เป็นการแสดงเจตนาไม่สุจริตโจทก์ไม่ประสงค์รับเงินดังกล่าว ซึ่งในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็ได้หยิบยกเอาคำแถลงของโจทก์จำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวมาประกอบดุลพินิจในการลงโทษจำเลยว่าที่จำเลยพยายามบรรเทาผลร้ายโดยจะชำระเงินจำนวน 90,000 บาท และถอนเงินประกันอีก 60,000 บาท ให้โจทก์ด้วยนั้น ก็เป็นการกระทำอย่างมีชั้นเชิง จึงไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย ศาลฎีกาได้พิเคราะห์รายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532แล้ว เห็นว่าก่อนศาลชั้นต้นจะพิพากษา ก็ได้ให้โอกาสโจทก์จำเลยตกลงปรองดองกันโดยให้เวลาจำเลยหาเงินมาชำระหนี้ตามเช็คที่พิพาทนานถึง 2 เดือน แต่จำเลยก็ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ที่จำเลยแถลงว่าพร้อมที่จะชำระเงินจำนวน 90,000 บาท และจะถอนเงินประกันอีก60,000 บาท ชำระหนี้ให้โจทก์นั้น ก็ไม่มีหลักประกันเพื่อให้โจทก์ได้รับความมั่นใจเลย เพียงแต่แถลงลอย ๆ การที่จำเลยจะขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปอีก จึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาขอเลื่อนคดีเพื่อที่จะประวิงคดี ทั้งไม่มีพฤติการณ์ใดที่ส่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กลั่นแกล้งจำเลยเพื่อจะเอาคดีอาญามาบีบบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คแก่โจทก์ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าข้อเสนอของจำเลยที่จะชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์เป็นไปอย่างมีชั้นเชิงและไม่ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งนั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยอีกประการหนึ่งว่า ควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่าจำเลยอายุ 50 ปี มีอาชีพค้าขาย ตามฎีกาของจำเลยซึ่งโจทก์ได้รับสำเนาแล้วมิได้แก้ให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้ความว่า จำเลยมีภาระต้องดูแลภรรยาและบุตรซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่อีก 4 คน จำเลยสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาทางเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และเคยไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่ประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบกับจำเลยพยายามขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์อันเป็นการบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์โดยปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยนำเงินจำนวน 150,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับแก่โจทก์ ตามคำร้องของจำเลยลงวันที่ 12 ตุลาคม 2533 แม้จำเลยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ช.1398/2532 และหมายเลขแดงที่ช.5069/2532 ให้ลงโทษจำคุก แต่คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดจึงถือว่าจำเลยยังไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจำเลยไว้”
พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ช.1398/2532 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีนี้จำเลยไม่ได้รับโทษจำคุก จึงให้ยกคำขอนี้เสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share