แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บัตรราคาสินค้าและบันทึกการวิเคราะห์ราคาของกรมศุลกากรเป็นเอกสารภายในของโจทก์ที่ทำขึ้นบุคคลภายนอกไม่อาจจะทราบได้ทั้งการประเมินราคาสินค้าก็ปรากฏว่ามีการประเมินภายหลังจากจำเลยที่ 1 นำสินค้าเข้ามาแล้วเป็นเวลากว่า 4-5 ปี กรณีเช่นนี้จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่า ราคาสินค้าที่ปรากฏในบัตรราคาสินค้าและบันทึกการวิเคราะห์ราคาที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์นำมาเทียบเคียง กับราคาสินค้าของจำเลยที่ 1 เป็นราคาของสินค้าประเภทเดียวกันชนิดเดียวกันกับสินค้าของผู้อื่นซึ่งนำเข้าในราชอาณาจักรมาแล้วในเวลาเดียวกันและใกล้เคียงกันกับเวลาที่จำเลยที่ 1 นำเข้า เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความดังกล่าว จึงไม่อาจจะถือเอาราคาตามที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ทำการประเมินสินค้าของจำเลยที่ 1 เพิ่มเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดได้การประเมินภาษีอากรขาเข้าเพิ่มเติมสำหรับสินค้าดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 นำเข้ามาภายในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าประเภทผ้าโสร่ง ผ้าฝ้ายและกางเกงยีนรวม 5 ครั้ง แล้วชำระภาษีอากรไม่ครบถ้วน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระภาษีอากรที่ชำระขาดและเงินเพิ่มตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า สินค้าที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาตามฟ้องทั้ง 5 รายการ มีราคาถูกต้องแท้จริงตามราคาในท้องตลาด ราคาสินค้าที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้กำหนดขึ้นใหม่มิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ราคาประเมินดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่าการประเมินอากรขาเข้าเพิ่มสำหรับสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าของโจทก์ชอบหรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 และ ที่ 4 เป็นหุ้นส่วน เมื่อวันที่23 กรกฎาคม 12520 ถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2521 จำเลยที่ 1 ได้นำสินค้าผ้าฝ้ายประเภทผ้าโสร่ง และกางเกงยีนเข้ามาในราชอาณาจักรรวม 5 ครั้ง จำเลยที่ 1 ได้สำแดงราคาสินค้าและชำระภาษีอากรขาเข้าแล้วตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์เห็นว่า ราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงราคาไว้ตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง 5 ฉบับดังกล่าวต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จึงทำการประเมินราคาใหม่และได้แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีอากรเพิ่มตามใบประเมินอากรขาเข้าและภาษีการค้าแต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง เห็นว่า แม้โจทก์จะมีนางรัศมี โกมลวาทิน และนางพวงผกา ยิ่งเสรี เจ้าพนักงานประเมินเป็นพยานเบิกความว่า พยานซึ่งเป็นผู้ทำการประเมินราคาสินค้าของจำเลยที่ 1 มีความเห็นว่าราคาสินค้าของจำเลยที่ 1 ที่สำแดงไว้ต่ำกว่าราคาสินค้าที่ปรากฏในบัตรราคาสินค้า และบันทึกการวิเคราะห์ราคาซึ่งได้นำมาเทียบเคียงกัน จึงได้ทำการประเมินราคาใหม่ เมื่อคำนวณค่าอากรแล้วจำเลยที่ 1 จะต้องชำระ เพิ่มขึ้นจึงได้แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 1 ทราบ กับยืนยันว่าบัตรราคาสินค้าและบันทึกการวิเคราะห์ราคาถือจากราคาสินค้าชนิดเดียวกันที่นำเข้ามาในเวลาใกล้เคียงกัน แม้สินค้าของจำเลยที่ 1 นำมาจากประเทศอินโดนีเชีย และซื้อผ่านประเทศสิงคโปร์เหมือนกันก็ตามแต่บัตรราคาสินค้าและบันทึกการวิเคราะห์ราคาดังกล่าวปรากฏตามคำเบิกความของนางพวงผกาว่าเป็นเอกสารภายในของโจทก์ที่ทำขึ้นบุคคลภายนอกไม่อาจจะทราบได้ ทั้งการประเมินราคาสินค้าของโจทก์ก็ปรากฎว่ามีการประเมินกันภายหลังจากจำเลยนำสินค้าเข้ามาแล้วเป็นเวลากว่า 4-5 ปี กรณีเช่นนี้จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่า ราคาสินค้าที่ปรากฏในบัตรราคาสินค้าและบันทึกการวิเคราะห์ราคาที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์นำมาเทียบเคียงกับราคาสินค้าของจำเลยที่ 1 เป็นราคาของสินค้าประเภทเดียวกันชนิดเดียวกันกับสินค้าของผู้อื่นซึ่งนำเข้าในราชอาณาจักรมาแล้วในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับเวลาที่จำเลยที่ 1 นำเข้าเมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความดังกล่าว จึงไม่อาจจะถือเอาราคาตามที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ทำการประเมินสินค้าของจำเลยที่ 1เพิ่ม เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดได้ การประเมินอากรขาเข้าเพิ่มเติมสำหรับใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าจึงเป็นการไม่ชอบ
พิพากษายืน.