คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3594/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินในส่วนที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยแต่ละคนบุกรุกและเข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยมิชอบซึ่งจำเลยแต่ละคนต่างต่อสู้ว่าที่ดินส่วนนั้นๆจำเลยแต่ละคนได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยเองชั้นอุทธรณ์โจทก์และจำเลยที่1ที่2ที่3ที่5กับที่6ตีราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเนื้อที่รวม4ไร่20ตารางวาเป็นเงิน250,000บาทราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงเป็นอันยุติเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์และพยานจำเลยที่1ที่2และที่6ว่าจำเลยที่1ที่2ที่6ครอบครองที่พิพาทเฉพาะที่ดินตามน.ส.3ก.เลขที่2795ซึ่งมีเนื้อที่เพียง2ไร่โดยแบ่งกันครอบครองฉะนั้นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในส่วนของจำเลยที่1ที่2และที่6จึงไม่เกินคนละสองแสนบาทต้องห้ามมิให้จำเลยที่1ที่2และที่6ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยที่1ที่2และที่6ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าการออกน.ส.3ก.เป็นไปโดยชอบโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและจำเลยที่1ที่2และที่6ต่างเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทเกิน1ปีนั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยและรับฟังมาว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยและโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาททั้งจำเลยต่างเพิ่งบุกรุกเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม2533ตามที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 2794 และ 2795 ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2533 จำเลยทั้งหกและบริวารได้เข้ามาครอบครองที่ดินของโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยเข้ามาปลูกบ้านลงในที่ดินของโจทก์โดยที่โจทก์มิได้อนุญาต อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และ 3 ต่อมาโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งหกและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์ออกไปหลายครั้งแต่จำเลยทั้งหกและบริวารเพิกเฉยไม่รื้อถอน ต่อมาวันที่ 9 เมษายน2534 โจทก์ได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่เพื่อให้ดำเนินการขับไล่จำเลยทั้งหกและบริวารออกจากที่ดินโจทก์แต่จำเลยทั้งหกก็ยังดื้อดึง ต่อมาโจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยทั้งหกและบริวารให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและให้ออกจากที่ดินของโจทก์ ภายหลังที่ครบกำหนดตามหนังสือแล้ว จำเลยทั้งหกและบริวารก็ยังเพิกเฉยอีก ทำให้โจทก์เสียหายโดยโจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองที่ดินโดยปกติสุขได้ ขอบังคับจำเลยทั้งหกขนย้ายทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างพร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนด 30 วันนับแต่มีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งหกให้การว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 2794 และ2795 ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ของโจทก์โจทก์ได้เอกสารสิทธิมาโดยมิชอบ คือเมื่อประมาณปลายปี 2521 ถึงต้นปี 2522 เวลาคาบเกี่ยวกัน โจทก์ได้แจ้งการครอบครองและนำชี้แนวเขตที่ดินแก่เจ้าพนักงานที่ดินที่ทำการพิสูจน์สอบสวนสิทธิและการทำประโยชน์ในที่ดินอันเป็นเท็จว่า ได้ซื้อและครอบครองที่ดินมีหลักฐานเป็น สค.1 เลขที่ 441 หมู่ที่ 6 ตำบลเชียงดาวอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และได้ซื้อที่ดินของนายแก้วที่นายแก้วได้ครอบครองทำประโยชน์มาก่อนเมื่อปี 2492 โจทก์ได้ครอบครองต่อเนื่องมารวม 30 ปี ยังไม่มีโฉนดที่ดินและ น.ส.3แต่อย่างใด และยังได้แจ้งอีกว่าทำไร่ข้าวในที่ดินพิพาทโดยได้ทำประโยชน์ด้วยตนเองทั้งหมดโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน และโจทก์ก็ได้รับรองแนวเขตข้างเคียงอันเป็นเท็จว่า ได้นำทำการสำรวจและทำการรังวัดวัดปักเขตแล้ว ผู้นำกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงต่างรับว่าตามที่เจ้าของที่ดินได้นำเจ้าพนักงานทำการปักหลักเขตที่ดินนั้นถูกต้องไม่มีการรุกล้ำที่ดินข้างเคียงและได้ลงลายมือชื่อผู้ปกครองท้องที่อันเป็นเท็จ จากการให้การและนำชี้แนวเขตที่ดินอันเป็นเท็จดังกล่าวของโจทก์ ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินออก น.ส.3 ก.เลขที่ 2794 และ 2795 ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ ให้แก่โจทก์ ซึ่งความจริงโจทก์ไม่ได้ซื้อและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเลย จำเลยทั้งหกยอมรับว่าได้ครอบครองทำประโยชน์และปลูกบ้านในที่ดินพิพาทจริง แต่เป็นการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยทั้งหกเอง ไม่ใช่ครอบครองหรือบุกรุกที่ดินของโจทก์แต่อย่างใด โดยจำเลยทั้งหกและทายาทของจำเลยทั้งหกได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตลอดโดยการทำไร่ ปลูกพืชยืนต้น เช่น มะม่วง ลำไย มาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้วโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน และปัจจุบันจำเลยทั้งหกได้ปลูกบ้านพักอาศัยอยู่กันมาไม่ต่ำกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ดังนั้น หากแม้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ก็ไม่มีสิทธิได้คืนซึ่งการครอบครองและสิ้นสิทธิในการครอบครองที่ดินแปลงนี้แล้ว เพราะนำคดีมาฟ้องเกินกว่า1 ปี นับจากถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6กับบริวารขนย้ายทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ภายใน 30 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที 3 ที่ 5 และที่ 6 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินในส่วนที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยแต่ละคนบุกรุกเข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยมิชอบ ซึ่งจำเลยแต่ละคนต่างต่อสู้ว่าที่ดินส่วนนั้น ๆ จำเลยแต่ละคนได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยเอง ชั้นอุทธรณ์โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ที่ 5 กับที่ 6 ตีราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเนื้อที่ 4 ไร่20 ตารางวา เป็นเงิน 250,000 บาท ราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงเป็นอันยุติ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 7 ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6ครอบครองที่พิพาทเฉพาะที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 2795 ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 2 ไร่ ดังปรากฏตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.4โดยแบ่งกันครอบครอง ฉะนั้นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 จึงไม่เกินคนละสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าการออกน.ส. 3 ก.เป็นไปโดยชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ต่างเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทมาเกิน 1 ปี นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่วินิจฉัยและรับฟังมาว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยและโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งจำเลยต่างเพิ่งบุกรุกเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม 2533 ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6

Share