แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยปลูกบ้านในที่ดินซึ่งผู้ร้องเช่ามาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เมื่อปี พ.ศ. 2512 โดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อครบกำหนด 13 ปีจำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้อง ต่อมาก่อนครบกำหนดผู้ร้องและจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันยกกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2525 ข้อตกลงนี้ แม้ยังไม่จดทะเบียนโอนก็ไม่ทำให้บ้านพิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ เพราะที่ดินเป็นสิทธิของผู้ร้องตามสัญญาเช่า ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยอีกคดีหนึ่ง จะนำยึดบ้านพิพาทเพื่อบังคับคดีหาได้ไม่.
ย่อยาว
มูลกรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำบังคับโจทก์นำยึดบ้านพิพาทอ้างว่าเป็นของจำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องความว่าบ้านที่โจทก์นำยึดเป็นบ้านของจำเลยปลูกสร้างในที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งผู้ร้องมีสิทธิการเช่าอยู่ จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกกรรมสิทธิ์ในบ้านนั้นให้ผู้ร้อง ศาลพิพากษาให้จำเลยและบริวารอาศัยอยู่ได้ถึงวันที่ 26 มกราคม 2528 โจทก์ยึดบ้านพิพาทเพื่อช่วยเหลือจำเลยและประวิงการบังคับคดีของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่าผู้ร้องมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทแต่เป็นของจำเลย สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยยกกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทให้ผู้ร้องเป็นกลฉ้อฉลระหว่างจำเลยกับผู้ร้องและมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ ไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและเป็นบุคคลภายนอกได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ปล่อยบ้านพิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ฎีกาว่าขณะที่โจทก์นำยึดบ้านพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่เพราะยังมิได้โอนให้โจทก์นั้นเห็นว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2517ข้อ 3 (เอกสารหมาย ร.5) นั้นจำเลยยอมยกกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2525 แล้วหลักฐานทางราชการเช่นหนังสืออนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารเลขหมายประจำบ้านก็ออกให้ในชื่อผู้ร้อง เมื่อจำเลยยอมยกกรรมสิทธิ์ให้ผู้ร้องแม้ไม่จดทะเบียนโอนก็ไม่ทำให้ทรัพย์นั้นยังเป็นของจำเลยอยู่เพราะที่ดินเป็นสิทธิของผู้ร้องตามสัญญาเช่าและหลักฐานต่าง ๆ เป็นชื่อของผู้ร้องอยู่แล้ว แม้จะฟังว่าโจทก์ไม่รู้ถึงสัญญาระหว่างผู้ร้องกับจำเลยตามเอกสารหมาย ร.5 และจำเลยอ้างว่ายังเป็นเจ้าของบ้านพิพาทอยู่ก็ไม่มีผลดีต่อโจทก์แต่อย่างไรเพราะเมื่อโจทก์นำยึดนั้นทรัพย์พิพาทมิได้เป็นของจำเลยแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.