คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3582/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 13 และ 153 กำหนดให้การดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีล้มละลายต้องดำเนินเป็นการด่วนดังนั้นหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและจ.พ.ท. รายงานว่า เจ้าหนี้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้ว แม้คำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจะยังไม่ถึงที่สุดก็ตาม ศาลชั้นต้นก็ต้องพิพากษาให้จำเลยล้มละลายตามความในมาตรา 61 ทันที คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเป็นคำสั่งชี้ขาดคดีมีผลเป็นคำพิพากษาตามความในมาตรา 6 ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รอการพิพากษาให้จำเลยล้มละลายไว้จนกว่าศาลฎีกาจะได้ชี้ขาดตัดสินเรื่องที่จำเลยฎีกาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จึงเป็นคำสั่งหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาและไม่ต้องห้ามอุทธรณ์คำสั่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า เจ้าหนี้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย จำเลยยื่นคำร้องขอให้รอการพิพากษาให้จำเลยล้มละลายไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอการพิพากษาให้จำเลยล้มละลายไว้จนกว่าศาลฎีกาจะได้ชี้ขาดตัดสินเรื่องคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปโดยไม่ต้องรอการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับปัญหาข้อแรกที่ว่า เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า เจ้าหนี้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาให้จำเลยล้มละลายทันทีหรือไม่นั้น เห็นว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายกฎหมายกำหนดให้ต้องดำเนินเป็นการด่วนดังได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 13 และ 153ดังนั้น หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้วแม้คำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจะยังไม่ถึงที่สุดก็ตามศาลชั้นต้นก็ต้องพิพากษาให้จำเลยล้มละลายตามความในมาตรา 61 ทันทีสำหรับปัญหาข้อสุดท้ายที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รอการพิพากษาให้จำเลยล้มละลายไว้จนกว่าศาลฎีกาจะได้ชี้ขาดตัดสินเรื่องที่จำเลยฎีกาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้น เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์คำสั่งทันทีหรือไม่ นั้น เห็นว่าตามความในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดก็ต่อเมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า ลักษณะของจำเลยต้องด้วยกฎเกณฑ์ตามกฎหมายที่ศาลจะพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายได้แล้ว แต่เหตุที่กฎหมายกำหนดให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเสียชั้นหนึ่งก่อนนั้นก็เปิดช่องให้จำเลยได้มีโอกาสขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายนั่นเอง ซึ่งถ้าหากไม่มีการประนอมหนี้ หรือการประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าหนี้แล้ว ศาลชั้นต้นก็ต้องพิพากษาให้จำเลยล้มละลายตามความในมาตรา 61 ทันที ดังนั้นคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจึงเป็นคำสั่งชี้ขาดคดีมีผลเป็นคำพิพากษาตามความในมาตรา 6 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอการพิพากษาให้จำเลยล้มละลายไว้ จนกว่าศาลฎีกาจะได้ชี้ขาดตัดสินเรื่องที่จำเลยฎีกาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จึงเป็นคำสั่งหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งในระหว่างพิจารณาและไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ดังที่จำเลยฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share