แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเมาสุราใช้มีดยาวประมาณ 7-8 นิ้ว แทงไปที่ท้องของผู้เสียหาย ขณะยืนห่างผู้เสียหายประมาณ 2 เมตร ในระหว่างเกิดเหตุชุลมุนกัน สภาพเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุเช่นนั้น จำเลยไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้เสียหายและไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะแทงตรงส่วนสำคัญของร่างกาย ทั้งการแทงดังกล่าวก็ไม่ถูกผู้เสียหายด้วย ส่วนการที่จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งที่สองในขณะที่ผู้เสียหายหันหลังวิ่งหนีนั้นก็ปรากฏว่ามีบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายด้านหลัง ยาวประมาณ 3 เซนติเมตรใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน ซึ่งเป็นบาดแผลที่มิใช่ส่วนสำคัญของร่างกายและไม่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน ตามพฤติการณ์และบาดแผลที่จำเลยแทงผู้เสียหายดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ จำคุก ๒ ปี และริบมีดของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ จำคุก ๑๐ ปี นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยใช้มีดของกลางแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าหรือไม่ ตามปัญหาดังกล่าวนั้น ผู้เสียหายเบิกความว่าขณะที่จำเลยเมาสุราส่งเสียงเอะอะโวยวาย ผู้เสียหายเข้าไปห้ามจำเลย โดยยืนอยู่ข้างหน้าจำเลยห่างกันประมาณ ๒ เมตร ทันใดนั้นเอง จำเลยชักมีดจากเอวจ้วงแทงไปที่บริเวณหน้าท้องของผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลบและหันหลังวิ่งหนี จำเลยแทงผู้เสียหายอีก ๑ ที ถูกที่หัวไหล่ซ้ายและวิ่งตามผู้เสียหายไปห่าง ๆ ก็มีผู้ห้ามจำเลยไว้ ส่วนนายกั้ง วิไลรัตน์ และนายสมนึก สังข์พรม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่เกิดเหตุ เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าขณะเกิดเหตุ ผู้ที่ไปในงานศพชุลมุนกัน นายสมนึกเข้าไประงับเหตุการณ์ แล้วผู้เสียหายออกมาจากที่ชุลมุน มีบาดแผลถูกแทงที่หัวไหล่ซ้าย ส่วนจำเลยยืนถือมีดอยู่นายสมนึกสอบถามได้ความว่าจำเลยเป็นผู้แทงผู้เสียหาย ตามที่พยานโจทก์ทั้งสามคนเบิกความดังกล่าวข้างต้นเห็นว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายในระหว่างเกิดเหตุชุลมุน แม้จำเลยใช้มีดของกลางยาวประมาณ ๗ – ๘ นิ้ว เป็นอาวุธ และครั้งแรกจำเลยแทงไปที่ท้องของผู้เสียหาย แต่ขณะนั้นจำเลยเมาสุรายืนอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ ๒ เมตร สภาพเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุเช่นนั้น จำเลยย่อมไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้เสียหายและคาดหมายไม่ได้ว่าจะแทงถูกผู้เสียหายตรงส่วนสำคัญของร่างกาย ทั้งการที่จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกนั้นก็หาถูกร่างกายของผู้เสียหายไม่ส่วนการที่จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งที่สองเป็นบาดแผลที่หัวไหล่ซ้ายในขณะที่ผู้เสียหายหันหลังวิ่งหนีไปนั้นก็ปรากฏบาดแผลตามที่แพทย์ตรวจบันทึกไว้ว่า ‘มีบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายด้านหลังยาวประมาณ ๓ เซนติเมตร ขอบเรียบ ฉีกถึงชั้นกล้ามเนื้อใช้เวลารักษาประมาณ ๗ วัน’ ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นบาดแผลที่มิใช่ส่วนสำคัญของร่างกายและไม่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ตามพฤติการณ์และบาดแผลที่จำเลยแทงผู้เสียหายดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.