แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่พอฟังลงโทษจำเลยโจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังลงโทษจำเลยได้ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิการที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาดังกล่าว และศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ อัยการสูงสุดไม่มีอำนาจรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คำให้การในชั้นสอบสวนของพยานซึ่งโจทก์ไม่สามารถนำตัวมาเบิกความในชั้นพิจารณา เพราะหาตัวไม่พบ แม้โจทก์จะมีผู้ว่าราชการจังหวัดมาเบิกความว่าพยานได้ให้การต่อหน้าตนก็ตาม ก็รับฟังได้แต่เพียงว่าพยานได้เคยให้การไว้เช่นนั้น แต่ความจริงจะเป็นดังที่พยานให้การไว้หรือไม่ โจทก์จะต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบอีก เพราะคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าว จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านเพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจค้นคว้าหาข้อเท็จจริงได้ จึงมีน้ำหนักน้อย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบให้เห็นว่าจำเลยฆ่าผู้ตาย ลำพังคำรับชั้นจับกุมจำเลย และคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธอยู่ว่าไม่ได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจจึงนำมารับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199,288, 289, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 6 คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง คืนของกลางแก่ทายาทของผู้ตาย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในข้อหาความผิดฐานซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตายและเหตุแห่งการตายนั้น มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ข้อหานี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหานี้ และศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบอัยการสูงสุดไม่มีอำนาจรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในศาลชั้นต้นแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับข้อหาฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นขณะคนร้ายฆ่าผู้ตาย คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของเด็กหญิงอาภัสรา ทรัพย์สมบูรณ์ บุตรจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.3 ว่าขณะเกิดเหตุเด็กหญิงอาภัสรานอนอยู่ที่ชั้นที่สองของคลินิคผู้ตายได้ยินเสียงคล้ายคนตกบันได จึงออกมาดูที่นอกห้องบริเวณบันไดเห็นจำเลยที่ 1 และที่ 3 ช่วยกันหามผู้ตายซึ่งมีโลหิตไหลเปื้อนตามร่างกายไปขึ้นรถยนต์แลนด์โรเวอร์และขับรถออกไปโดยมีจำเลยที่ 2นั่งไปในรถด้วย แต่โจทก์ไม่สามารถนำตัวเด็กหญิงอาภัสรามาเบิกความยืนยันในชั้นพิจารณาได้เพราะหาตัวไม่พบ แม้โจทก์จะมีนายชาญพันธุมรัตน์ ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชรขณะเกิดเหตุมาเบิกความรับรองว่า เด็กหญิงอาภัสราได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนต่อหน้าพยานก็ตาม ก็รับฟังได้แต่เพียงว่าเด็กหญิงอาภัสราได้เคยให้การไว้เช่นนั้น แต่ความจริงจะเป็นอย่างที่เด็กหญิงอาภัสราให้การไว้หรือไม่ โจทก์จะต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบอีกเพราะคำให้การของเด็กหญิงอาภัสราดังกล่าว จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านเพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจค้นคว้าหาข้อเท็จจริงได้จึงมีน้ำหนักน้อย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันฆ่าผู้ตาย ลำพังคำรับชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 และคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปฏิเสธอยู่ว่าไม่ได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงนำมารับฟังลงโทษจำเลยทั้งสามไม่ได้
พิพากษายืน