คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3550/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์ที่จำเลยดูแลรับผิดชอบได้หายไป จำเลยจึงไปแจ้ง ต่อพันตำรวจโท ม. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจในท้องที่ที่จำเลยไปพบรถยนต์ที่จำเลยดูแลรับผิดชอบเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจนำรถยนต์มาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจเพื่อป้องกันมิให้สูญหาย โดยจำเลยไม่ประสงค์ที่จะให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วมหรือผู้ใดผู้หนึ่งแต่เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องสืบให้ได้แน่ชัดก่อน แล้วจึงจะไปร้องทุกข์ดำเนินคดีภายหลัง เมื่อข้อความ ที่จำเลยแจ้งแก่พันตำรวจโท ม. เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และจำเลยมิได้แจ้งว่ารถยนต์หายไป ไม่ว่าจะเป็นการ โดยการลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์อย่างใด และไม่ปรากฏข้อความ ที่แจ้งว่ามีการกระทำความผิด แม้โจทก์ร่วมจะได้แนะนำ ให้จำเลยไปแจ้งความดำเนินคดีในท้องที่เกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยไปแจ้งความดำเนินคดีเพราะเหตุมีการกระทำความผิด แต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยที่ไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้นำรถมาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531 เวลากลางวันจำเลยนำข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการกระทำผิดทางอาญาซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่ามิได้มีการกระทำผิดเกิดขึ้น โดยแจ้งต่อพันตำรวจโทมงคล ภูวนผา สารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80 – 4267 อุดรธานี ของห้างหุ้นส่วนจำกัดอุดรค้ากรวดทราย ซึ่งจำเลยเป็นผู้จัดการได้หายไปขณะจอดไว้ที่บริเวณหน้างานคลองส่งน้ำทรายมูล ตำบลทรายมูล อำเภอศรีบุญเรืองจังหวัดอุดรธานี และได้พบรถยนต์คันดังกล่าวอยู่ที่โรงโม่หินศิลาผาทอง อำเภอภูกระดึง ขอให้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอภูกระดึง ป้องกันมิให้สูญหายและเพื่อแจ้งความเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดอุดรธานี อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งความจริงแล้วจำเลยได้นำเอารถยนต์คันดังกล่าวไปเป็นการแลกเปลี่ยนชำระหนี้ค่าหินแก่บริษัทศิลาผาทอง จำกัด ซึ่งมีนายอนันต์ พิพัฒน์วิไลกุล เป็นผู้จัดการ กรณีจึงมิได้มีความผิดฐานลักทรัพย์เกิดขึ้นแต่อย่างใด ทำให้นายอนันต์พิพัฒน์วิไลกุล และพันตำรวจโทมงคล ภูวนผา ได้รับความเสียหายจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 402/2532หมายเลขแดงที่ 934/2532 ของศาลจังหวัดอุดรธานี ซึ่งศาลจังหวัดอุดรธานีพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน คดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 กับขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีดังกล่าว
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายอนันต์ พิพัฒน์วิไลกุล ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 173 ลงโทษจำคุก 1 ปี ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 402/2532 หมายเลขแดงที่ 934/2532 ของศาลจังหวัดอุดรธานี และเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้นายอนันต์ พิพัฒน์วิไลกุลเข้าร่วมเป็นโจทก์เสีย เพราะนายอนันต์มิใช่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้แจ้งต่อพันตำรวจโทมงคล สารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80 – 4267อุดรธานี ของห้างหุ้นส่วนจำกัดอุดรค้ากรวดทรายหายไป และได้พบรถยนต์คันดังกล่าวอยู่ที่โรงโม่หินศิลาผาทอง ขอให้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอภูกระดึง และศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เพราะโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามที่ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.6 บันทึกข้อความตามคำแจ้งของจำเลยว่า”ผู้แจ้งเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดอุดรค้ากรวดทรายจังหวัดอุดรธานี ได้มาสถานีแจ้งว่า เมื่อวันเดือนใดจำไม่ได้ปี 2531ได้ให้นายสมอาจคนขับรถประจำห้างหุ้นส่วนนำรถยนต์บรรทุกหกล้อยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 80 – 4267 อุดรธานี ให้มาทำคลองส่งน้ำที่บ้านทรายมูล ตำบลทรายมูล อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดอุดรธานีต่อมาวันเดือนใดจำไม่ได้ ปี 2531 นายสมอาจคนขับรถได้ไปบอกที่ห้างหุ้นส่วนว่า รถได้หายไปจากหน้างานคลองส่งน้ำทรายมูลผู้แจ้งได้ติดตามหา รถ ตลอดมา ไม่ได้แจ้งความหรือร้องทุกข์ไว้ที่ใดมาก่อน ครั้นวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531 นายสมอาจคนขับได้ไปบอกผู้แจ้งว่าได้ติดตามไปพบรถยนต์คันดังกล่าวอยู่ที่โรงโม่หินศิลาผาทอง ตำบลผานกเค้า อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ผู้แจ้งจึงเดินทางมาที่โรงโม่หินศิลาผาทอง พบรถยนต์ของห้างหุ้นส่วนคันที่หายไปอยู่ในโรงโม่หินศิลาผาทอง จึงได้มาพบพันตำรวจโทมงคล ภูวนผา สารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอภูกระดึง เพื่อนำรถมาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอภูกระดึง ป้องกันมิให้สูญหาย สารวัตรป้องกันปราบปรามได้สั่งให้นายดาบตำรวจวิชิต มีสะอาด กับพวกไปนำรถมาเก็บรักษาโดยนายอนันต์ พิพัฒน์วิไลกุล ผู้จัดการโรงโม่หินศิลาผาทองไม่ขัดข้องและยินดีให้นำรถมาเก็บรักษา” และตามรายงานประจำวันดังกล่าวได้บันทึกข้อความที่สอบถามโจทก์ร่วมไว้ด้วยว่า”ร้อยตำรวจเอกเล็ก คำจันทร์ รองสารวัตรสอบสวนร้อยเวรได้รับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80 – 4267 อุดรธานี ไว้เพื่อเก็บรักษาที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอภูกระดึง และได้สอบถามนายอนันต์ (โจทก์ร่วม) ได้ความว่า ส่วนประกอบของรถยนต์ที่นายอนันต์ได้หามาใส่เพิ่มเติมไฟหน้า 2 ข้าง ไฟท้าย 2 ข้าง ยางรถยนต์ 5 ล้อ แบตเตอรี่ขนาด 100 แอมป์ 2 หม้อ กระจกมองข้าง 2 อัน ส่วนรายละเอียดการได้มาของรถยนต์คันดังกล่าวขอปกปิดไว้ก่อน จะขอแถลงข้อเท็จจริงในชั้นศาลและได้แนะนำให้นายณรงค์ จีรศรยุทธ ไปแจ้งความและร้องทุกข์เกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนอำเภอศรีบุญเรืองจังหวัดอุดรธานี ท้องที่ที่เกิดเหตุ ทั้งสองฝ่ายเข้าใจดีแล้วจึงให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน” และตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีได้ลงบันทึกในช่องวันเดือนปีและเวลาว่า “15.50 น. นำรถมาเก็บรักษา” พันตำรวจโทมงคล พยานโจทก์ก็เบิกความว่า จำเลยได้มาพบและบอกแก่พยานว่า เป็นผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดอุดรธานี โดยจำเลยแจ้งว่ารถยนต์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยได้สูญหายไปในเขตอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดอุดรธานีและเบิกความตอบทนายโจทก์ร่วมขออนุญาตศาลถามว่าเกี่ยวกับรถยนต์ที่สูญหายนั้นยังไม่ได้มีการร้องทุกข์โดยจำเลยอ้างแก่พยานว่าจะสืบทราบให้แน่ชัดก่อนแล้วจะไปร้องทุกข์ภายหลัง พยานโจทก์ปากนี้ได้ให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.1 ว่า ในวันที่ 16 พฤศจิกายน2531 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา จำเลยได้มาแจ้งต่อพยานว่า เป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดอุดรค้ากรวดทราย จังหวัดอุดรธานี รถยนต์บรรทุก 6 ล้อ หมายเลขทะเบียน 80 – 4267 อุดรธานี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบได้หายไปจากท้องที่อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดอุดรธานี ต่อมาได้ติดตามพบรถยนต์คันดังกล่าวอยู่ที่โรงโม่หินศิลาผาทอง ตำบลผานกเค้า อำเภอฟภูกระดึง ขอให้พยานนำรถยนต์มาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอภูกระดึงให้ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้รถยนต์สูญหายตามบันทึกคำรับรองเอกสารหมาย จ.5 คำให้การของพันตำรวจโทมงคล เอกสารหมาย จ.1 และคำเบิกความของพยานดังกล่าวจำเลยแจ้งต่อพันตำรวจโทมงคลซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจในท้องที่ที่จำเลยไปพบรถยนต์ที่จำเลยดูแลรับผิดชอบเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจนำรถยนต์มาเก็บรักษาไว้ และเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยไม่ประสงค์ที่จะให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วมหรือผู้ใดผู้หนึ่งแต่จะต้องสืบเรื่องให้ได้แน่ชัดก่อนจึงจะไปร้องทุกข์ดำเนินคดีภายหลัง และข้อความที่แจ้งนั้นเป็นข้อเท็จจริงเพราะรถยนต์ที่จำเลยดูแลรับผิดชอบได้หายไปจากหน้างาน โดยจำเลยมิได้แจ้งว่ารถยนต์หายไปอย่างไร โดยการลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์แต่อย่างใดไม่ และไม่ปรากฏข้อความที่แจ้งว่ามีการกระทำความผิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น แม้โจทก์ร่วมจะได้แนะนำให้จำเลยไปแจ้งความดำเนินคดีในท้องที่เกิดเหตุ ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยไปแจ้งความดำเนินคดีเพราะเหตุมีการกระทำความผิดแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยที่ไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้นำรถมาเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจนั้นยังไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share