คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คพิพาทชำระราคาสินค้าที่ตกลงซื้อจากโจทก์เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นต่อมาฝ่ายจำเลยติดต่อขายสินค้านั้นต่อให้กับ พ. และโจทก์ยอมรับเช็คจาก พ. ไว้เป็นการชำระราคาสินค้าที่ส่งขายให้แก่จำเลยไว้เดิมเช่นนี้แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอา พ. เข้าเป็นลูกหนี้แทนที่จำเลยลูกหนี้เดิมแล้ว ย่อมเป็นการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 350 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์อีก เพราะไม่มีมูลหนี้ที่จะเรียกร้องกันได้ต่อไปแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาปทุมวันลงวันที่ 19 ธันวาคม 2517 สั่งจ่ายเงินจำนวน 29,000 บาท จำเลยเป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่าย เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์ได้นำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาปทุมวัน ปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค จำเลยต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2517 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 8 เดือนเศษเป็นเงิน 1,450 บาท จึงขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค 29,000 บาท ดอกเบี้ย1,450 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงิน 29,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อปลายปี พ.ศ. 2517 โจทก์ส่งตัวแทนมาติดต่อกับจำเลยเสนอขายวัตถุเคมี 2 ชนิด เพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม คือ ติตาเนียมกับอีกชนิดหนึ่งชื่อทางภาษีจีนว่า “จุ้ยหุ้ง” แต่เมื่อส่งมอบตามที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ส่งมอบเพียงติตาเนียมชนิดเดียว อีกชนิดหนึ่งขอส่งในภายหลัง จำเลยจึงได้จ่ายเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าให้ไว้เป็นประกัน โจทก์จะนำไปรับเงินได้ต่อเมื่อส่งวัตถุเคมีอีกชนิดหนึ่งแก่จำเลยก่อนถึงวันกำหนดสั่งจ่ายในเช็ค แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ส่งให้ตามข้อตกลง จำเลยจึงบอกเลิกการซื้อขายพร้อมกับส่งติตาเนียมคืนโจทก์และขอเช็คพิพาทคืน โจทก์ยังไม่ยอมคืนให้ ต่อมาโจทก์ขายติตาเนียมต่อให้นายไพโรจน์ จิรไกรศิรินายไพโรจน์ ได้ออกเช็คให้โจทก์ใหม่ จำนวนเงิน 34,075 บาท โจทก์รับเช็คของนายไพโรจน์แล้วยังคงยึดเช็คของจำเลยไว้ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปแล้ว ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธินำเช็คของจำเลยไปขึ้นเงินกับธนาคาร โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิจะเรียกร้องดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 29,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2517 จนถึงวันที่ชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ข้อเท็จจริงยุติว่า จำเลยออกเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าชำระราคาติตาเนียมจำนวน 1 ตันที่ตกลงซื้อจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ต่อมาฝ่ายจำเลยติดต่อขายติตาเนียมต่อให้นายไพโรจน์ จิรไกรศิริ จำเลยได้พานายไพโรจน์ไปตกลงกับโจทก์ โจทก์ยอมตกลงรับเช็คที่นายไพโรจน์สั่งจ่ายเองโดยนายไพโรจน์จะต้องจ่ายเป็นค่าทนายความร้อยละ 10 ค่าดอกเบี้ยร้อยละ 5 ของราคาติตาเนียม เป็นเงิน 2,900 บาท และ 1,450 บาท กับค่าใช้จ่ายหากต้องฟ้องบังคับตามเช็คอีก 725 บาท รวมไว้ในเช็คค่าติตาเนียมด้วย รวมเป็นเงิน 34,075 บาท นายไพโรจน์จึงออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดเลขที่ ข.0058535 สั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ไป

วินิจฉัยว่าปรากฏว่าโจทก์ได้รับเช็คธนาคารไทยพาณิชย์เลขที่ ข.0058535จำนวนเงิน 34,075 บาท จากนายไพโรจน์ ติรไกรศิริ (ตามที่โจทก์อ้างส่งศาล)ไว้เป็นการชำระราคาติตาเนียมที่ส่งขายให้แก่จำเลยไว้เดิมโดยบวกค่าทนายดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายหากต้องฟ้องร้องบังคับคดีตามเอกสารหมาย ล.1 ล.2รวมเขาไว้ด้วย แสดงชัดอยู่ว่าโจทก์ยอมรับเอานายไพโรจน์เข้าเป็นลูกหนี้แทนที่จำเลยลูกหนี้เดิมแล้วตามข้อนำสืบของจำเลย จึงเป็นการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์อีก เพราะไม่มีมูลหนี้ที่จะเรียกร้องได้ต่อไปแล้ว

พิพากษายืน

Share