คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปิดสถานที่ประกอบธุรกิจเมื่อเจ้าหนี้ทวงถามหนี้ที่ค้างชำระจำเลยบอกแก่เจ้าหนี้ว่าไม่มีเงินชำระเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 8

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์และเบิกเงินไปโดยตกลงเสียดอกเบี้ยให้โจทก์เป็นรายเดือนทุก ๆ เดือนเมื่อครบกำหนดชำระโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยก็ไม่ชำระปรากฏว่าจำเลยปิดสถานที่ประกอบธุรกิจ ผู้จัดการก็หลบซ่อนตัวจำเลยเป็นหนี้บุคคลอื่นมากมาย ทรัพย์สินเหลือไม่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้อื่น ๆ ได้ และจำเลยได้แจ้งแก่โจทก์และเจ้าหนี้อื่นว่าไม่สามารถชำระหนี้ให้ได้ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย และพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483

โจทก์ขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว

จำเลยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริง แต่ยังไม่สมควรเป็นบุคคลล้มละลายเพราะทรัพย์สินของจำเลยมีเหลือพอที่จะชำระหนี้ไม่ได้เป็นหนี้มากมายดังโจทก์ฟ้อง จำเลยมีลูกหนี้ซึ่งสามารถเรียกร้องเอาเงินมาชำระหนี้ได้ จำเลยไม่เคยเพิกเฉยเมื่อโจทก์ทวงถาม ผู้จัดการไม่เคยหลบซ่อนตัว จึงไม่ควรเป็นบุคคลล้มละลาย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และเป็นจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 1,000 บาท จำเลยไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าตนอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นอันไม่ควรล้มละลาย จึงมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์แน่นอนเกินกว่า 1,000 บาท จำเลยปิดสถานที่ประกอบธุรกิจ เมื่อเจ้าหนี้ทวงถามหนี้ที่ค้างชำระ ผู้จัดการจำเลยก็บอกว่าไม่มีเงินชำระ เป็นข้อสันนิษฐานได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 และจำเลยไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้เห็นว่าจำเลยอาจชำระหนี้ได้

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share