คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การทีจำเลยทำสัญญาจะซื้อที่ดินมือเปล่าจากสามีโจทก์ โดยได้วางมัดจำและได้เข้าครอบครองที่ดินมากว่า 10 ปีแล้วก็ตาม เมื่อยังไม่ได้โอนขายกัน ก็ต้องถือว่าจำเลยครอบครองโดยอาศัยสิทธิของฝ่ายโจทก์ ฝ่ายโจทก์ย่อมขอให้ปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้
เมื่อจำเลยผู้จะซื้อผิดสัญญา ฝ่ายโจทก์ผู้จะขายก็ขอเลิกสัญญาได้ เมื่อใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม คือ โจทก์คืนเงินที่รับชำระให้จำเลย จำเลยก็ต้องคืนที่พิพาทให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อสวนยางจากนายบิซันซิงห์สามีโจทก์เป็นราคา ๖๐,๐๐๐ บาท จำเลยวางมัดจำไว้แล้ว ๓๐,๐๐๐ บาท และได้รับมอบให้ครอบครองกรีดน้ำยางในที่พิพาทตลอดมา ต่อมานายบิซันซิงห์ตาย ศาลตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ได้ให้ตัวแทนไปติดต่ออำเภอให้เรียกจำเลยรับซื้อและชำระเงินที่เหลือ จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยผิดสัญญา หรือมิฉะนั้นก็ให้จำเลยชำระเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทและรับซื้อสวนยางไป
จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าสวนยางที่ค้าง ๒๑,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยให้จำเลยรับซื้อที่พิพาทไป ยกฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยคืนสวนยางให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าใน พ.ศ.๒๔๙๓ นายบิซันซิงห์ทำสัญญาจะขายสวนยางให้จำเลย จำเลยได้ครอบครองสวนยางมา ต่อมานายบิซันซิงห์ถึงแก่กรรม ยังไม่ได้ทำการโอนขายสวนยางพิพาทให้จำเลย ฉะนั้น เมื่อจำเลยเข้าครอบครองสวนยางพิพาทตามข้อสัญญาจะซื้อขาย ต้องถือว่าจำเลยครอบครองโดยอาศัยสิทธิของฝ่ายโจทก์ แม้สัญญาจะซื้อขายรายนี้ได้ทำกันมาเกิน ๑๐ ปีแล้วก็ตาม ก็ต้องถือว่าจำเลยครอบครองแทนโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้เลิกสัญญาได้ แต่เมื่อมีการใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะเดิม ฉะนั้นโจทก์ผู้เรียกร้องเอาสวนยางคืน มีหน้าที่ต้องคืนเงินที่จำเลยชำระไว้ให้จำเลยด้วย ฝ่ายจำเลยก็ต้องคืนที่พิพาทให้โจทก์
พิพากษาแก้ ให้โจทก์คืนเงิน ๓๙,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share