แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำหนังสือรับว่าในปี พ.ศ.2522 ระหว่างที่จำเลยมีส่วนรับผิดชอบในการรับเงินและการจ่ายเงินของโจทก์ มีเงินขาดบัญชีไปจำนวนหนึ่ง จำเลยจะนำหลักฐานไปตรวจสอบกับบัญชีของโจทก์ภายใน 180 วันนับแต่วันทำบันทึก หากตรวจสอบได้ผลว่าเงินขาดบัญชีไปเท่าใด จำเลยยินยอมชดใช้ให้โจทก์ภายใน 180 วัน ข้อความดังกล่าวมีความหมายว่า หากตรวจสอบแล้วปรากฏว่าเงินขาดบัญชีไปจริง จำเลยยินยอมจะชดใช้ให้ ถือได้ว่าจำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยทำหนังสือรับสภาพให้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อายุความฟ้องคดีของโจทก์จึงสะดุดหยุด ลงจำเลยรับว่าจะนำหลักฐานไปตรวจสอบบัญชีของโจทก์ภายใน 180 วันนับแต่วันทำบันทึก และรับจะชดใช้เงินที่ขาดบัญชีให้โจทก์ภายใน 180 วันเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงเป็นเวลา 360 วันนับแต่วันทำบันทึกแล้วเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการทำละเมิด แต่โจทก์ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง โดยมิได้วินิจฉัยในประเด็น ฟ้องเคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อ้างในคำแก้อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๒ – พ.ศ. ๒๕๒๓ จำเลยเป็นกรรมการในคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นประธานจากการตรวจสอบบัญชีงบดุลของโจทก์พบว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ขณะที่จำเลยปฏิบัติงานอยู่ เงินสดขาดจำนวนจากในบัญชี ๑๑๗,๗๒๙.๖๘ บาท จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๔ มีความสำคัญว่า จำเลยมีส่วนรับผิดชอบในการรับ การจ่ายสำหรับยอดเงินขาดบัญชี จำเลยจะนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบกับหลักฐานการรับ การจ่ายเงิน และบัญชีของสหกรณ์ให้ถูกต้องภายใน ๑๘๐ วันนับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้ หากปรากฏในที่สุดว่าเงินขาดบัญชีไปเท่าใด จำเลยยินยอมชดใช้ให้แก่โจทก์ภายใน ๑๘๐ วัน จำเลยไม่มีหลักฐานใด ๆ มาตรวจสอบ ถือได้ว่าเงินโจทก์ขาดบัญชีทั้งหมด ซึ่งจำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้โจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่าบันทึกฉบับลงวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๔มิใช่หนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยมิได้รับรองว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยทำขึ้นเพียงขอเวลาเพื่อตรวจสอบรายละเอียดในเรื่องยอดเงินขาดบัญชี ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ทำตามหน้าที่หรือตามที่ได้รับมอบหมายอย่างใดอันเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ ทำให้จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บันทึกตามเอกสารหมาย จ.๔ ไม่เป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ แม้จะฟังว่าจำเลยกระทำละเมิด คดีของโจทก์ก็ขาดอายุความตาม มาตรา ๔๔๘ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๑๑๗,๗๒๙.๖๘ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น ตามบันทึกเอกสารหมาย จ.๔ จำเลยรับว่าในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ระหว่างที่จำเลยมีส่วนรับผิดชอบในการรับเงินและการจ่ายเงินของโจทก์ มีเงินขาดบัญชีไป ๑๑๗,๗๒๙.๖๘ บาท จำเลยจะนำหลักฐานไปตรวจสอบบัญชีของโจทก์ภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่วันทำบันทึก หากการตรวจสอบได้ผลว่าเงินขาดบัญชีไปเท่าใด จำเลยยินยอมชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ภายใน ๑๘๐ วัน ข้อความดังกล่าวมีความหมายว่า หากตรวจสอบแล้วปรากฏว่าเงินขาดบัญชีไปจริง จำเลยยินยอมจะชดใช้ให้ ถือได้ว่า จำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยทำหนังสือรับสภาพให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๗๒ อายุความฟ้องคดีของโจทก์จึงสะดุดหยุดลง จำเลยรับว่าจะนำหลักฐานไปตรวจสอบกับบัญชีของโจทก์ภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่วันทำบันทึก และรับจะชดใช้เงินที่ขาดบัญชีให้โจทก์ภายใน ๑๘๐ วันเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงเป็นเวลา ๓๖๐ วัน นับแต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นวันทำบันทึก แล้วเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๕ แม้พฤติการณ์ที่จำเลยปฏิบัติงานบกพร่องเป็นเหตุให้เงินขาดบัญชีจะเป็นการทำละเมิด แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๕ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยประเด็นข้ออื่น โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อ้างในคำแก้อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จึงเป็นข้อที่คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ฎีกาจำเลยข้อนี้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืน.